“ผู้ช่วยหวาน” ร่วม “บิ๊กก้อง” นำชุดสืบสวนกองปราบฯเปิดยุทธการระเบิดสะพานโจรตัดวงจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ครั้งใหญ่สุดในประเทศ บุกค้นบ้านและคอนโดย่านชานกรุง 4 จุด รวบ 2 ผู้ต้องหาชาวไทยคนดูแลและชาวจีนคนเซตระบบ พร้อมของกลางมโหฬาร ซิมบ็อกซ์ 92 เครื่อง ซิมการ์ดโทรศัพท์ไทยลงทะเบียนแล้ว 18,020 ซิม โทรศัพท์มือถือ 437 เครื่อง จ่อขยายผลหานายทุนบงการ แฉ 19 ปีที่แล้ว ผู้ต้องหาชาวไทยที่ถูกจับครั้งนี้เคยร่วมกับพวกเจาะระบบบัตรเติมเงินมือถือออเร้นจ์จนบริษัทเจ้าของเสียหายไปกว่า 105 ล้านบาท
ตำรวจเปิดยุทธการระเบิดสะพานโจรตัดวงจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ครั้งใหญ่ในประเทศไทยครั้งล่าสุดเปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 9 ต.ค. พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. พ.ต.อ.เผด็จ งามละม่อม รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.มนูญ แก้วก่ำ ผกก.1.บก.ป. พร้อมตำรวจ กก.1 บก.ป.,กก.สสน. บก.ป. และ บก.ปอท. ร่วมกันแถลงผลเปิดยุทธการระเบิดสะพานโจร จับกุมนายธีรภัทร อุตราภิรมย์สุข อายุ 68 ปี เจ้าของบ้านผู้ดูแล และนายหลิน ช่วงเฉียน อายุ 33 ปี ชาวจีน ผู้ดูแลระบบ ตัวแทนเครือข่าย (Retailer) ตรวจยึดซิมบ็อกซ์, โทรศัพท์มือถือ และซิมการ์ดลงทะเบียนแล้วนับหมื่นชิ้น
มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้น 4 จุด จุดแรก บ้านเลขที่ 538/1 ซอยแฮปปี้แลนด์ทาวน์เฮ้าส์ ซอย 4 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กทม. เป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น รั้วรอบขอบชิดเนื้อที่ 100 ตร.ว. ในห้องเก็บของชั้นล่างเป็นห้องเก็บซิมบ็อกซ์ พบเครื่อง ซิมบ็อกซ์ 28 เครื่องเปิดใช้งาน, ซิมการ์ดไทยทุกเครือข่าย 10,000 ซิม มีนายธีรภัทรเจ้าของบ้านรับเป็นผู้ดูแล และนายหลินเป็นผู้ดูแลเซตระบบ จุดที่ 2 บ้านเลขที่ 964 หมู่บ้านสินธร แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กทม. พบเครื่องซิมบ็อกซ์ 20 เครื่อง, ซิมการ์ดไทยเปิดใช้งานแล้ว 2,000 ซิม จุดที่ 3 คอนโดฯ อินซิโอ ตึก B ชั้น 6 ห้องเลขที่ 562/52 แขวงคลองตัน เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ พบเครื่องซิมบ็อกซ์ 5 เครื่อง, โทรศัพท์มือถือ 370 เครื่อง, ซิมการ์ดไทยเปิดใช้งานแล้ว 6,000 ซิม จุดที่ 4 ห้องเลขที่ 562/68 คอนโดฯ และตึกเดียวกัน พบเครื่องซิมบ็อกซ์ 39 เครื่อง, โทรศัพท์มือถือ 103 เครื่อง, ซิมการ์ดไทย เปิดใช้งานแล้ว20 ซิม, เอกสารที่เกี่ยวข้อง ธนบัตรสกุลหยวน ประเทศจีนจำนวนหนึ่ง รวมทั้ง 4 จุด พบซิมบ็อกซ์ 92 เครื่องซิมการ์ดโทรศัพท์ไทย 18,020 ซิม โทรศัพท์มือถือ 437เครื่อง
พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร.กล่าวว่า เป็นการตรวจค้นจับกุมครั้งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เป็นการตัดวงจรของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่จะมาหลอกลวงคนไทย จากการตรวจค้นยึดซิมบ็อกซ์ ได้เกือบ 100 เครื่อง พร้อมซิมการ์ดเบอร์โทรศัพท์เกือบ 20,000 หมายเลข ในการโทร.หนึ่งครั้งสามารถโทร.ออกได้ประมาณ 3,000 หมายเลขต่อครั้ง สำหรับวิธีการคนร้ายยังเป็นรูปแบบเดิม อาศัยอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน และจะหลีกเลี่ยงเบอร์ที่โทร.มาในต่างประเทศ เช่น +67 +68 จะตั้งฐานในประเทศไทย เมื่อโทร.ไปหาผู้เสียหายเบอร์โทรศัพท์จะขึ้นเป็นเบอร์ประเทศไทย (+66) ทำให้ผู้เสียหายไม่ลังเลรับสายโทรศัพท์ ทั้งนี้ หากมีการปิดซิมหรือซิมหมดอายุ สามารถเปลี่ยนหมายเลขใหม่เพื่อเอาไปหลอกลวงในครั้งถัดไป หลังจากนี้จะหารือกับ กสทช.ถึงมาตรการการลงทะเบียนเบอร์โทรศัพท์มือถือที่มีการลงทะเบียนมากกว่า 5 ซิม และจะขยายผลขบวนการนี้ต่อไป รวมถึงจะตรวจสอบคนรับลงทะเบียนซิมด้วย
ด้าน พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. กล่าวว่า วันนี้เข้าตรวจค้นทั้งหมด 4 จุด การที่พบซิมการ์ดและอุปกรณ์มือถือจำนวนมากครั้งนี้ถือเป็นการทำลายวงจรของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ เนื่องจากหลักฐานที่ยึดมานั้นจำนวนมาก แต่เชื่อว่าในขบวนการนี้ยังมีตัว บงการ หลังจากนี้จะมีการขยายผลต่อไป
จากการสอบสวนนายธีรภัทรรับว่าเป็นเจ้าของบ้าน ก่อนหน้านี้มีอาชีพขายซิมโทรศัพท์จึงมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องเบอร์โทรศัพท์ ดูแลซิมบ็อกซ์ มาประมาณ5ปี ซิมที่ได้จะจดทะเบียนเป็นชื่อตัวเองกว่า 10,000 เบอร์ ได้รับผลตอบแทนเบอร์ละ 2 บาท มีรายได้เดือนละ 5-6 หมื่นบาท ส่วนนายหลิน ชาวจีนให้การว่า เข้ามาดูแลเรื่องระบบ และเซตระบบ เข้ามาประเทศไทยเพราะฟรีวีซ่า ตอนนี้อยู่เกินมา 37 วันแล้ว ส่วนคนสั่งการเป็นชาวจีน ไม่รู้จัก ได้เงินเดือนด้วยการโอนเงินเป็นเงินสกุลดิจิทัล
เบื้องต้นแจ้งข้อหาเป็นธุระจัดหา โฆษณาหรือไขข่าวโดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อหรือขาย เลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งลงทะเบียนผู้ใช้บริการในนามของบุคคลหนึ่งบุคคลใดแล้ว แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้, ร่วมกันทำมีใช้นำเข้า นำออก หรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ร่วมกันตั้งสถานีวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต, ร่วมกันใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคม, เป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และร่วมกันฉ้อโกงประชาชน นำตัวส่ง กก.1.บก.ป.ดำเนินคดีพร้อมขยายผลหาผู้มีส่วนร่วมการกระทำผิดต่อไป
ตรวจสอบประวัตินายธีรภัทรพบว่า เมื่อปี 2548 ได้ร่วมกับนายทวีทรัพย์ หรือภูมิพัฒน์ หรือโอ๋ ลลิตศศิวิมล นักแฮกเกอร์ และถูกตำรวจ บก.ปอศ. จับกุมหลังร่วมกันลักลอบใช้รหัสผ่านบริษัททรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นตัวแทนผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ออเร้นจ์ เข้าไปแก้ไขวงเงินในบัตรเติมเงินออเร้นจ์ให้มีมูลค่าสูงขึ้น ทำให้บริษัทเสียหายไปกว่า 105 ล้านบาทด้วย
แหล่งข่าว: ไทยรัฐ