ในขณะที่ข่าวคราวการจัดงานเคาต์ดาวน์ ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ของภาครัฐ และภาคเอกชนไทยได้ชื่อว่ามาแรงมากในช่วง 4–5 ปีมานี้…จนกลายเป็นหมุดหมาย ของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่จะต้องไขว่คว้าหาโอกาสมาดูชมการยิงพลุและแสงสีเสียง ในเทศกาลต้อนรับปีใหม่ของไทยแลนด์ชนิดแน่นขนัดมาโดยตลอดนั้น
เชื่อหรือไม่ว่า “งานเคาต์ดาวน์” อีกงานหนึ่งของประเทศไทยซึ่งจัดขึ้นอย่างเงียบๆ และมีเพียง “แสงเทียน” ส่องประกอบรำไรๆเท่านั้น กลับโด่งดังเป็นที่รู้จักเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางของคนไทยเราเองก่อน และได้เริ่มจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาแจม มากขึ้นและมากขึ้นในระยะหลังๆ
นั่นก็คือพิธี “เคาต์ดาวน์” ของคนไทย “สายบุญ” หรือ “สายธรรมะ” ที่เรียกว่า พิธี “สวดมนต์ข้ามปี” นั่นเอง
จากการจัดขึ้นอย่างสมถะไม่เผยแพร่ ประชาสัมพันธ์เท่าไรนัก แต่อาศัยแรงบุญ แรงศรัทธาทำให้การสวดมนต์ข้ามปีได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างเหลือเชื่อ จุดเร่ิมต้นเกิดขึ้นโดยกลุ่มพุทธศาสนิกชนรุ่นหนุ่มสาวใน พ.ศ.นั้น ที่รวมตัวกันไปขอจัดพิธีในวัดต่างๆ ซึ่งแรกๆก็เพียงไม่กี่วัดเท่านั้นเอง และก็มีบางที่บางสถาบันทางศาสนา เช่น สมาคมทางพุทธศาสนา บางสมาคมได้จัดขึ้นเงียบๆในสถาบันของตนเอง
ทีมงานซอกแซกสายบุญรายหนึ่งพลัดหลงไปพบเจอที่ วัดอรุณราชวราราม เมื่อเกือบ 20 ปีมาแล้ว กลับมารายงานว่า บรรยากาศดีมากจริงๆ แต่ผู้เข้าร่วมยังไม่มากนัก
ใน พ.ศ.นั้นมีเพียงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้นที่ไปสวดข้ามปีที่ “วัดอรุณราชวราราม” และเท่าที่หัวหน้าทีมซอกแซกประเมินจากข่าวคราว ก็พออนุมานได้ว่า…ในการจัดสวดมนต์ข้ามปีในหลายๆจังหวัดทั่วประเทศก็ยังเงียบๆ อยู่เช่นกัน
จนกระทั่งในช่วง 10 ปีหลังนี่เอง ต้องบอกว่า “กระแสสวดมนต์ข้ามปี” หรือ “เคาต์ดาวน์ทางธรรม” ได้กลายเป็นกระแสใหม่ที่มาแรงมาก และกลายเป็นคู่แฝดของ “เคาต์ดาวน์ทางโลก” ไปได้อย่างเหลือเชื่อ
แม้การจัดงาน“ทางโลก” จะใหญ่ขึ้น เรื่อยๆและโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ เพิ่มความแรงความยาวของพลุ ตลอดจนเวลาจุดพลุขึ้นเรื่อยๆ…ในขณะที่เคาต์ดาวน์ “ทางธรรม” หรือ “สายบุญ” แม้จะมิได้มีการประชาสัมพันธ์มาก แต่จากการจัดงานอย่างต่อเนื่องก็ทำให้กระแสความนิยมยังคงพุ่งต่อ มิได้แผ่วลงแต่ประการใด
รวมทั้งในปี 2568 อีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้…ในขณะที่ “ทางโลก” มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ว่า จะมีดาราระดับโลกมาร่วมหลายคน รวมทั้งขวัญใจชาวโลกและชาวไทย “น้องลิซ่า” ลลิษา มโนบาล ด้วยเชื่อว่าจะสามารถดึงแฟนคลับของเธอให้ติดตามการ เคาต์ดาวน์ ณ ไอคอนสยาม ได้อย่างมหาศาล
แต่ในการเคาต์ดาวน์ของสายบุญก็เหมือนบุญบันดาลจริงๆ เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในวาระแห่งการเฉลิมฉลอง 72 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเตรียมเข้าสู่ปีที่ 50 ของการมีสัมพันธ์ทางการทูต ระหว่างประเทศไทยกับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน…ทางรัฐบาลจีนจึงอนุมัติให้อัญเชิญ “พระเขี้ยวแก้ว” หรือพระบรมสารีริกธาตุขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในส่วนที่เป็น “พระทนต์” ซึ่งประเทศจีนโชคดีได้มีโอกาสเป็นเจ้าของพระบรมสารีริกธาตุส่วนนี้มาประดิษฐานในประเทศไทยเป็นการชั่วคราวถึง 14 กุมภาพันธ์ศกหน้า
รัฐบาลไทยได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ ท้องสนามหลวง ตั้งแต่ 4 ธันวาคมเป็นต้นมา ดังนั้นในคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ปีนี้ ซึ่งทางกรมศาสนาแจ้งแล้วว่าจะมีการจัดพิธี “สวดมนต์ข้ามปี” ณ บริเวณหน้าพระมณฑป อันเป็นที่ประดิษฐานของพระเขี้ยวแก้ว ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม
กล่าวโดยสรุปก็คือ สถานที่อันดับ 1 หรือ “กองทัพธรรมส่วนหน้า” ในการสวดมนต์ ข้ามปี 2568 จะอยู่ที่ “ท้องสนามหลวง”
ส่วนวัดอื่นๆใน กทม.จากการตรวจสอบพบว่า วัดหลักๆที่ประชาชนชาวไทยเคารพนับถืออย่างสูงยิ่ง เช่น วัดอรุณราชวราราม, วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร, วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม, วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์, วัดสุทัศนเทพวราราม, วัดโสมนัสราชวรวิหาร ฯลฯ รวมแล้วกว่า 140 วัด ต่างจัดให้มีพิธีสวดมนต์ข้ามปีทั้งสิ้น
ต่างจังหวัดก็เช่นเดียวกันรายชื่อที่มีการเอ่ยถึงในสื่อสังคมออนไลน์ก็มากมายสุดจะนับได้ถ้วน เพราะจัดทุกจังหวัด ทุกอำเภอ ขออนุญาตแนะนำเป็นภาพรวมว่าใครอยู่ใกล้วัดใดที่มีการจัดสวดมนต์ข้ามปี อย่าลืมแวะไปที่วัดดังกล่าวนั้นก็แล้วกันครับ
หรือหากไม่สามารถไปร่วมสวดที่ไหนได้เลยก็อย่าเสียดาย หรือผิดหวังเป็นอันขาด เพราะการสวดมนต์ภาวนานั้นขึ้นอยู่กับ “หัวใจ” และ “ศรัทธา” เป็นสำคัญ
ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นและศรัทธาที่มีต่อคำสอนของพระศาสดา…สวดข้ามปีที่ไหนก็ได้ครับ ขอให้สวดก็แล้วกันนะครับ “ชาวสายบุญ” ทุกๆคน.
“ซูม”
คลิกอ่านคอลัมน์ “ซูมซอกแซก” เพิ่มเติม
แหล่งข่าว: ไทยรัฐ