ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง “ชัยวัฒน์” คดี “รัชฎา” อดีตอธิบดีกรมอุทยานฯ ฟ้องเอาผิดแจ้งความเท็จ กลั่นแกล้งให้รับโทษปมรับสินบน 

ที่ห้องพิจารณา 806 ศาลอาญา เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 19 พ.ย. 67 ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดำ อ.824/2566 ที่นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นโจทก์ ฟ้อง นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ เป็นจำเลยในความผิดฐาน แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ เพื่อกลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับโทษ

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกล่าวหาว่าโจทก์มีนโยบายก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา มีคำสั่งโยกย้ายทำให้เจ้าหน้าที่ต้องวิ่งเต้นที่สำนักงานอธิบดีรายละประมาณ 200,000-300,000 บาท หากผู้ใดไม่วิ่งเต้นจะถูกโยกย้ายทำให้เดือดร้อน เมื่อเป็นเจ้าหน้าที่หัวหน้าหน่วยภาคสนามจะต้องจ่ายเงินเป็นรายเดือน ทำให้พนักงานสอบสวนจดข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าว ต่อมาเมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 65 จำเลยวางแผนเข้ามาขอพบโจทก์กลั่นแกล้งโจทก์ แอบซุกซ่อนติดกล้องสามารถบันทึกภาพและเสียงขณะเข้าพบโจทก์ จำเลยได้นำซองกระดาษสีขาวทราบภายหลังว่า ซองบรรจุเงิน 98,000 บาท ออกมาวางบนโต๊ะ ก่อนจำเลยออกจากห้องไป จากนั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้ามาในห้องโดยไม่มีหมายค้น และอ้างว่าเป็นการกระทำผิดซึ่งหน้า ค้นพบซองบรรจุเงิน 98,000 บาท จำเลยวางทิ้งไว้ ทำให้โจทก์เกิดความเสียหาย และเป็นการกลั่นแกล้ง ให้โจทก์ต้องรับโทษทางอาญา

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้จะมีพยานเบิกความสอดคล้องกันเรื่องโจทก์ไม่ได้เรียกรับสินบน แต่จำเลยได้รับทราบจากผู้ใต้บังคับบัญชา ทำให้จำเลยเชื่อว่ามีการกระทำความผิดเรื่องการเรียกรับสินบนเกิดขึ้นจึงได้ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ ตำรวจ ปปป. และ ป.ป.ช. โดยการกระทำดังกล่าว ของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จกล่าวหาให้โจทก์รับโทษ แม้ ป.ป.ช. จะชี้มูลความผิดต่อโจทก์และอัยการสูงสุดจะชี้ข้อไม่สมบูรณ์กลับก็ตาม แต่ไม่ถือว่าเป็นการแจ้งความเท็จหรือให้ข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน

อีกทั้งการเรียกรับสินบนต้องทำโดยปกปิดยากที่จะหาพยานหลักฐานในการตรวจสอบ แม้จำเลยจะเคยมีปัญหาเรื่องการตั้งกรรมการสอบสวนกับโจทก์ แต่จำเลยได้ไปแจ้งหน่วยงานที่รับผิดชอบแล้ว จำเลยจึงไม่มีมูลเหตุจูงใจกล่าวหาโจทก์ให้รับโทษ

ส่วนเรื่องการทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ แม้ว่าจำเลยจะมีการรวบรวมเงินมาจริง แต่เป็นการวางแผนจับกุมส่งมอบเงิน รับฟังได้ว่ามีเจตนาทำให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษ ไม่ได้มุ่งหมายถึงโจทก์จึงไม่เข้าข่ายการหมิ่นประมาทโจทก์พิพากษายกฟ้อง

ภายหลัง นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ศาลได้ไล่เรียงเนื้อเรื่องเกี่ยวกับพยานหลักฐานที่ฝ่ายตนมีเป็นลำดับขั้นตอน กรณีโจทก์ กล่าวหาว่าตนสร้างหลักฐานเท็จ สร้างพยานเท็จ ศาลพิจารณาแล้ว เห็นว่าไม่มีมูลความจริงให้ศาลรับฟังได้ เพราะเรื่องราวขั้นตอนทั้งหมดมีการรับเงินจริง

สำหรับคำพิพากษาของศาลวันนี้ ทำให้ฝ่ายตนได้หลักฐานเพิ่มเติมขึ้น เนื่องจากสิ่งที่โจทก์นำมาเบิกความต่อศาลเป็นประโยชน์กับฝ่ายตน ตนจะไม่ฟ้องกลับนายรัชฎา แต่จะขอคัดสำเนาคำพิพากษาเพื่อนำไปยื่นต่อ ป.ป.ช. เพิ่มเติม ขณะนี้ยังมีคดีที่ตนฟ้องร้องเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่อยู่ในศาลอีกหลายคดี ยืนยันจะต่อสู้ทุกคดี เนื่องจากเป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต.