ศาลสั่งประหารชีวิต “แอม ไซยาไนด์” สาวใจอำมหิตมือวางยาพิษฆ่าเพื่อนชิงทรัพย์ ส่วนสามีอดีตรอง ผกก.สภ.สวนผึ้ง ที่ช่วยเหลือเมียปกปิดซ่อนเร้นหลักฐาน สั่งจำคุก 1 ปี 4 เดือน และให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินกว่า 2 ล้านบาท ขณะที่ “ทนายพัช” หรือทนายปากแดง โดนคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ในความผิดฐานช่วยเหลือจำเลยซ่อนเร้นทำลายหลักฐาน
อีกหนึ่งคดีใหญ่ที่ประชาชนทั้งประเทศเฝ้าติดตามข่าว คือคดี “แอม ไซยาไนด์” ที่ก่อเหตุวางยาฆ่าเหยื่อทั้งที่เป็นเพื่อนกัน นับเป็นคดีสุดสะเทือนใจ ได้มีการตัดสินในศาลชั้นต้นแล้ว ทั้งนี้ ที่ห้องพิจารณา 713 ศาลอาญา เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 20 พ.ย. ศาลอ่านคำพิพากษา คดีพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 และนางทองพิน เกียรติชนะสิริ อายุ 66 ปี มารดาผู้เสียชีวิต ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง นางสรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ หรือแอม ไซยาไนด์ อายุ 36 ปี จำเลยที่ 1 ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อตระเตรียมการหรือเพื่อสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่น ฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ฐานปลอมปนอาหาร ยาหรือเครื่องอุปโภคอื่นใด เพื่อบุคคลอื่นเสพหรือใช้ และการปลอมปนนั้น เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย ส่วน พ.ต.ท.วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ อายุ 40 ปี อดีตสามีและอดีตรอง ผกก.สภ. สวนผึ้ง จำเลยที่ 2 กับ
น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัตร์ หรือทนายพัช อายุ 36 ปี จำเลยที่ 3 ความผิดฐานช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ให้มิต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงและซ่อนเร้นทำลายหลักฐานโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 เม.ย. 2566 นางสรารัตน์ จำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่า น.ส.ศิริพร ขันวงษ์ หรือก้อย อายุ 32 ปี โดยการนำสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ เป็นสารพิษปลอมปนใส่ลงในอาหารหรือน้ำดื่ม ปริมาณเท่าใดไม่ปรากฏชัด ให้ผู้ตายดื่มหรือรับประทาน ระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้ตายซึ่งเป็นเพื่อนกัน เดินทางไปปล่อยปลาที่ท่าน้ำ ต.บ้านโป่ง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี จนผู้ตายหมดสติและเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การช่วยเหลือและนำทรัพย์สินผู้ตาย 9 รายการมูลค่า 154,630 บาทของผู้ตายไปให้แก่ผู้มีชื่อ เพื่อซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ และจำเลยที่ 3 ได้ใช้หรือยุยงส่งเสริมจำเลยที่ 2 เพื่อมิให้เจ้าพนักงานตำรวจติดตามหาทรัพย์ของผู้ตาย เพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 1 มิให้ต้องรับโทษตามกฎหมายหรือให้ได้รับโทษน้อยลง จำเลยทั้ง 3 คน ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 1 ถูกคุมขังในทัณฑสถานหญิงกลาง ส่วนจำเลยที่ 2-3 ได้ประกันตัวในวงเงินคนละ 1 แสนบาท ทั้งนี้ ก่อนอ่านคำพิพากษา ศาลให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ใส่กุญเเจมือจำเลยทั้ง 3 คน มายืนฟังการอ่านคำพิพากษา
ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีว่า ช่วงวันที่ 1 ม.ค.63 ถึง 5 พ.ค.66 จำเลยที่ 1 มีเงินหมุนเวียนในบัญชีมากกว่า 95 ล้านบาท มีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงอีก 10 บัญชี ที่ตรวจสอบพบว่า เป็นบัญชีม้าเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์พร้อมกับมีหนี้สินจำนวนมาก ส่วนปี 64-65 พบว่าจำเลยที่ 1 เสียเงินให้พนันออนไลน์จำนวนมาก ทำให้ช่วงปีดังกล่าวมีผู้เสียชีวิตมากขึ้น ต่อมามีพยานที่เป็นผู้เสียหาย ถูกจำเลยที่ 1 หลอกลวงเพื่อวางยาในน้ำดื่มและในยาเม็ดแคปซูล ต่อมาพบว่ามีอาการเหมือนถูกพิษ
ส่วนการเสียชีวิตของ น.ส.ศิริพร หรือก้อย มีการกระทำหลายอย่างของจำเลยที่ 1 ที่เป็นพิรุธแสดงให้เห็นถึงเจตนาและความคาดหมายว่าจะให้เสียชีวิตในช่วงเวลาใด รวมถึงจำเลยที่ 1 อยู่ใกล้ผู้ตายเพื่อขโมยของ ก่อนมีผู้อื่นเข้ามาช่วยเหลือ หากบริสุทธิ์จริงควรอยู่ช่วยชีวิตจนถึงที่สุด หรือโทร.ติดต่อญาติผู้ตายให้ทราบแต่กลับขับรถออกไป จึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 วางแผนมาตั้งแต่ต้น ยังพบข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 สั่งไซยาไนด์มาอย่างเร่งรีบทั้งที่ไม่มีอาชีพเกี่ยวกับสารเคมีและพบว่ามียาไซยาไนด์ซ่อนอยู่ในรถยนต์ของผู้ตายหลายจุด รวมถึงพบยาเม็ดแคปซูลที่ภายในประกอบด้วยสารไซยาไนด์ซ่อนอยู่ในห้องโดยสารรถยนต์
จำเลยที่ 2 มีประเด็นนำหลักฐานสำคัญเป็นกระเป๋าของกลางไปส่งให้กับจำเลยที่ 1 แทนที่จะนำไปให้พนักงานสอบสวน ส่วนจำเลยที่ 3 ฐานะเป็นทนายความที่จำเลยที่ 1 ให้ความเชื่อถือ ยุยงให้จำเลยที่ 1 ปกปิดกระเป๋าของกลางในคดีเพื่อเป็นแนวทางในการชนะคดี ประกอบกับส่งคำพิพากษาศาลฎีกาที่ชนะคดีได้โดยไม่มีของกลางให้จำเลยที่ 1 และ 3 อ่านในกลุ่มไลน์ที่สร้างขึ้น จากพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมมีน้ำหนัก ศาลรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1-3 กระทำผิดตามฟ้อง ส่วนทางคดีแพ่งโจทก์ร่วมขอให้ชดใช้ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าควรชำระให้โจทก์รวมเป็นเงิน 2,343,588 ล้านบาท และพิพากษาว่าจำเลยทั้ง 3 กระทำผิดตามฟ้อง ลงโทษประหารชีวิตนางสรารัตน์ ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ส่วน พ.ต.ท.วิฑูรย์ จำเลยที่ 2 น.ส.ธันย์นิชา หรือทนายพัช จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ให้มิต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงและซ่อนเร้นทำลายหลักฐาน ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี เเต่ พ.ต.ท.วิฑูรย์ จำเลยที่ 2 ให้การเป็นประโยชน์ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน โดยไม่รอลงอาญาจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3
ภายหลังมีคำพิพากษา นางทองพินกล่าวว่า ขอบคุณศาลที่ให้ความยุติธรรม อยากบอกวิญญาณลูกสาวว่าได้รับความเป็นธรรมแล้ว ขอให้นอนหลับให้สบายไม่มีอะไรที่ต้องห่วง ได้เจอหน้าแอมไซยาไนด์ ในห้องพิจารณาคดียังรู้สึกโกรธ แค้นไม่อยากมองหน้าและดูเขาไม่มีท่าทีสลด ขนาดศาลมีคำพิพากษาให้ประหารชีวิตแอมยังดูเป็นปกติ
ด้านนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ เปิดเผยว่า วันนี้ศาลให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหายถือเป็นคดีแรกที่ศาลพิพากษา แต่มีการพูดถึงพยานจากคดีอื่นด้วย สามารถนำคำพิพากษาคดีนี้เป็นแนวทางการพิพากษาคดีอื่นที่เกี่ยวกับแอม ไซยาไนด์ ที่เหลืออีก 14 คดีด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ภายหลังฟังคำพิพากษา พ.ต.ท.วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ จำเลยที่ 2 น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัตร์ หรือทนายพัช จำเลยที่ 3 ได้ยื่นหลักทรัพย์เงินสดคนละ 100,000 บาท เพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ส่วนนางสรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ หรือแอม ไซยาไนด์ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตัวไปคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลางต่อไป
หลังได้รับการประกันตัว เวลา 18.00 น. น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวัณวัฒน์ หรือทนายพัช กล่าวว่าติดใจในคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ไม่หยิบยกประเด็นข้อต่อสู้ของฝั่งจำเลยมาพิจารณาในหลายประเด็นจะขอสู้ในชั้นอุทธรณ์ต่อไป ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการช่วยปกปิดพยานหลักฐานและทำให้ผู้กระทำความผิดไม่ต้องรับโทษ แต่ไม่ขอเปิดเผยข้อต่อสู้เพราะจะมีผลต่อการต่อสู้ของรูปคดี ส่วน พ.ต.ท.วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ อดีตสามีแอม ไซยาไนด์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเดินทางกลับทันทีหลังได้ประกันตัว
อีกด้าน วันเดียวกัน ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. หนึ่งในคณะพนักงานสอบสวนคดีแอมไซยาไนด์ กล่าวว่า คดีนี้ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่มีการฆ่าผู้เสียหายด้วยไซยาไนด์และเป็นคดีหนึ่งที่มีการกล่าวหามากถึง 15 คดี เป็นคดีต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558-2566 โดยในปี 2565 ผู้ต้องหาก่อคดีมากที่สุดรวม 7 ศพ คดีนี้ถือว่าประสบความสำเร็จในการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมหลักฐาน สามารถนำมาถอดบทเรียนไปใช้เป็นทิศทางที่คล้ายคดีในลักษณะแบบนี้ของวงการตำรวจได้เป็นอย่างดี
ส่วนคดีที่เหลืออีก 14 คดีจะสามารถเอาผิดกับผู้ต้องหาได้หรือไม่นั้น พ.ต.อ.เอนกกล่าวว่า คดีอื่นๆที่เหลือแม้เกิดมานานแล้ว แต่พนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้อง ทั้งตำรวจภูธรภาค 4 ตำรวจภูธรภาค 7 ตำรวจนครบาลได้รวบรวมพยานหลักฐานไว้เป็นอย่างดี มีข้อกำหนดในการรวบรวมหลักฐานไว้ 3 ประการ เพื่อให้การดำเนินคดีไปในทิศทางเดียวกัน คือ ประการแรก ผู้ตายทั้งหมดตายด้วยไซยาไนด์ ประการที่สอง ผู้ตายมีความเกี่ยวพันกับผู้ต้องหาหรือไม่ ประการสุดท้าย ผู้ตายมีมูลเหตุจูงใจให้ผู้ต้องหาลงมือฆ่าหรือไม่
“เมื่อพิจารณาดูแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งสามประการ ทำให้พนักงานสอบสวนทั้ง 14 คดีที่เหลือพบว่าสอดคล้องกันหมด การตายของผู้เสียชีวิตมีแอมทุกคดีและยังพบว่าผู้ตายแต่ละรายล้วนแต่มีแอมเป็นลูกหนี้ทั้งสิ้น เป็นการฆ่าเพื่อเอาทรัพย์สินจากผู้ตายทุกคดี คดีนี้ผู้ต้องหาปฏิเสธทั้งหมดทุกคดี หากรับสารภาพในชั้นศาลจะอยู่ในดุลพินิจว่าจะลดโทษในคดีอื่นๆให้หรือไม่ อีก 14 คดีที่เหลือพนักงานสอบสวนนัดหมายส่งสำนวนให้อัยการกองคดีอาญา วันอังคารที่ 26 พ.ย. เวลา 10.00 น.
แหล่งข่าว: ไทยรัฐ