“บอสปัน” ส่ายหัว คลิปเรียก 20 ล้าน “เจ๊พัช-ฟิล์ม” อ้างค่าทำพีอาร์ ยินดีให้ปากคำตำรวจ
ทนายความของบอสพอล เผย “บอสปัน” ได้แต่ส่ายหัว กรณีคลิปเสียงเรียกเงิน 20 ล้าน “เจ๊พัช-ฟิล์ม” ออกมาพูดแก้ต่างว่าเป็นการจ่ายเพื่อเป็นค่าแผนการทำพีอาร์เพื่อแก้ไขภาพลักษณ์ไม่ใช่ตบทรัพย์ ยันไม่ใช่เรื่องจริง “ดิไอคอน” ไม่เคยจ้างทั้งสองคน เตรียมแจ้งความเอาผิดภายในสัปดาห์หน้า
ความคืบหน้าคดี น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ หรือเจ๊พัช ประธานอำนวยการศูนย์ประสานงานส่งเสริมเครือข่ายออนไลน์ และนายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือฟิล์ม-รัฐภูมิ ศิลปินนักร้องชื่อดัง ปรากฏเป็นข่าวข่มขู่เรียกเงินจากกลุ่มผู้ต้องหาเครือข่ายดิไอคอนกรุ๊ป
เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของบอสพอล ผู้ต้องหาในคดีดิไอคอน กล่าวว่า ได้มีการพูดคุยกับบอสปันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยบอสปันให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า เนื่องจากเมื่อเดือนมิถุนายนคาบเกี่ยวกรกฎาคมที่บอสพอลไปพบที่บ้าน น.ส.กฤษอนงค์ ในนามของบริษัทและจ่ายเงิน 750,000 บาท นั้น โดยอ้างว่าเป็นการจ่ายเงินเพื่อกำจัดเพจผี แต่สุดท้ายเรื่องก็ไม่จบ บอสพอลเลยโกรธ น.ส.กฤษอนงค์
พอมาถึงเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่บริษัทดิไอคอน กำลังเป็นประเด็นทางสังคม น.ส.กฤษอนงค์ จึงได้ชวนให้บอสพอลมาพูดคุยที่บ้านในนามบริษัท แต่บอสพอลยังคงโกรธ บอสปันจึงเข้าไปคุยแทนบอสพอลในนามของบริษัทดิไอคอน ไม่ใช่ไปในนามส่วนตัว ก่อนที่จะปรากฏคลิปเสียงดังกล่าว นั่นจึงทำให้แน่ชัดแล้วว่า เหตุการณ์คลิปเสียง 20 ล้านบาทนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นในนามส่วนตัวของบอสปัน แต่เกิดขึ้นในนามของบริษัทดิไอคอน
ดังนั้น ในเรื่องนี้จะดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีกับ น.ส.กฤษอนงค์และฟิล์ม รัฐภูมิ ในนามของบริษัทดิไอคอน ซึ่งตอนนี้ทางบอสพอลได้รับทราบเรื่องแล้ว อยู่ในระหว่างการเซ็นเอกสารมอบอำนาจในนามนิติบุคคลเพื่อเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับทั้งสองคนในข้อหาพยายามฉ้อโกง คาดว่าน่าจะเป็นภายในสัปดาห์หน้า
นายวิฑูรย์กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า หลังจากที่ตนได้เล่าคดีดังกล่าวให้บอสปันฟังว่า ทั้งสองคนได้ออกมาพูดแก้ต่างว่าเป็นการจ่ายเพื่อเป็นค่าแผน PR บอสปันได้แต่ส่ายหัว เพราะไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด ยืนยันว่าทางบริษัทได้จ้าง PR กับบริษัท PR โฆษณายักษ์ใหญ่รายหนึ่ง ไม่เคยจ้างทั้งสองคนและทั้งสองคนนั้นก็ไม่ได้ทำธุรกิจ PR แต่อย่างใด ทั้งนี้ บอสปันยินดีที่เรื่องดังกล่าวได้เปิดเผยขึ้นมา และยินดีที่จะให้ทางพนักงานสอบสวนเข้ามาสอบปากคำเรื่องดังกล่าว โดยได้มีการหารือเบื้องต้นเกี่ยวกับคำให้การกับทนายความไว้แล้ว
นอกจากนี้ นายวิฑูรย์ ยังได้เปิดเผยอีกว่า ขณะนี้อยู่ในระหว่างการตรวจสอบว่า ผู้เสียหาย 89 รายที่ น.ส.กฤษอนงค์เคยเปิดประเด็นมาเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัทนั้น เป็นผู้ที่เสียหายจากการลงทุนเปิดบิลในระบบของบริษัทดิไอคอนจริงหรือไม่ เนื่องจากตนมีข้อมูลว่า มีบางคนที่สามารถเบิกสินค้าขายได้ตามปกติ แต่มาสมอ้างว่าเป็นผู้เสียหายที่ไม่สามารถเบิกสินค้าได้ แต่เรื่องนี้รอตรวจสอบให้ชัดเจนก่อน และจะเปิดเผยอย่างละเอียดภายในสัปดาห์หน้า หากพบว่าใครไม่ใช่ผู้เสียหายที่แท้จริง ก็จะถือว่าเป็นผู้ร่วมขบวนการเดียวกัน
ส่วนกรณีที่มีการปล่อยคลิปเสียงที่อ้างว่า น.ส.กฤษอนงค์ จ่ายเงิน 10 ล้านบาท ให้ DSI นั้น ตนยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าวและยังไม่ได้ฟังคลิปเสียงดังกล่าว
นายวิฑูรย์ยังได้เปิดเผยถึงกรณีที่ตัวแทนของบริษัทดิไอคอนถูกอายัดบัญชี ไม่ว่าจะเป็นฝั่งผู้เสียหายที่แจ้งความร้องทุกข์และตัวแทนที่เป็นพยานให้ฝั่งผู้ต้องหา หลังถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ DSI ตั้งเรื่องสอบสวนความผิดฐานฟอกเงิน โดยไม่เป็นการยึดอายัดแบบไม่ตั้งตัว ทำให้ตัวแทนบริษัทใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ตัวแทนหลายคนก็ได้ออกมาบ่นภายในกลุ่มแชทของตัวแทน โดยทนายความก็ได้รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้วและเชื่อว่าน่าจะมีตัวแทนถูกอายัดบัญชีมากกว่า 50 ราย แต่ฝั่งผู้เสียหาย ตนไม่ทราบจำนวนว่ามีเท่าไหร่ ในวันนี้ตนจึงนำประเด็นเรื่องดังกล่าวไปคุยกับบอสป๊อป นายหัสยานนท์ เอกชิสนุพงศ์ เพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลือ
นายวิฑูรย์กล่าวว่า สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากกรณีที่มีการเปิดยุทธการลำเลียงระเบิด โดยให้ผู้เสียหายเข้าไปให้การกับพนักงานสอบสวนว่าบริษัทดิไอคอนเป็นแชร์ลูกโซ่ จึงส่งผลทำให้บริษัทถูกดำเนินคดีในเรื่องแชร์ลูกโซ่และเมื่อเป็นคดีแชร์ลูกโซ่ ก็จะถูกตรวจเส้นทางการเงินจนนำมาสู่การอายัดบัญชีของตัวแทนทั้งสองฝ่าย เพราะอาจจะเข้าใจว่าเป็นแม่ข่าย
ดังนั้นจึงจะเห็นแล้วว่า คดีแชร์ลูกโซ่ จึงเปรียบเสมือนเป็นระเบิดที่ส่งผลกระทบทั้งสองฝ่ายเสมือนชื่อยุทธการดังกล่าว จากการพูดคุยกับบอสป๊อปจึงได้แนวทางเบื้องต้นว่า อยากให้ฝั่งผู้เสียหายที่ไปให้ปากคำกับทางตำรวจไปแก้คำให้การว่าไม่ใช่เรื่องแชร์ลูกโซ่และเป็นธุรกิจจริงๆ เพียงแต่อาจจะเกิดปัญหาเรื่องการขายสินค้าไม่ได้ เพราะตนก็เชื่อว่ามีผู้เสียหายจำนวนไม่น้อยที่ได้รับผลกระทบว่าถูกอายัดบัญชี ตนมองว่ายังมีโอกาสในการแก้ไขคำให้การ มิเช่นนั้น ถึงไม่แก้คำให้การคุณก็ต้องเตรียมตัวขึ้นไปให้การในชั้นศาล หากกลายเป็นเรื่องเท็จก็อาจจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายได้และไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย พวกคุณอย่าไปเชื่อใครมาก พร้อมทั้งระบุอีกว่า ตอนนี้บรรดาบอสที่ถูกจองจำในเรือนจำและทัณฑสถานนั้นเลยจุดที่โกรธบรรดาผู้เสียหายแล้ว ตอนนี้ต้องมาหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ส่วนฝั่งตัวแทนที่ไม่ได้เป็นผู้เสียหาย ก็ต้องเตรียมคำให้การเพื่อต่อสู้ข้อกล่าวหาเรื่องแชร์ลูกโซ่เช่นเดียวกัน และต้องยืนยันได้ว่าเงินที่ได้มาเป็นเงินจากการขายสินค้า โดยสัปดาห์หน้าตนจะพาพยานตัวแทนเหล่านี้ไปหารือกับทาง DSI เพื่อสอบปากคำอีกครั้งในข้อต่อสู้ข้างต้น
แหล่งข่าว: ไทยรัฐ