พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก. เผยผลสอบพี่สาวเมีย “ทนายตั้ม” ในส่วนของเงินส่วนต่างค่าออกแบบโรงแรม 5.5 ล้านบาท หลังคนขับรถให้การเอาเงินสดไปให้ 1 ล้านบาท ให้การเป็นเงินค่าใช้จ่ายภายในบ้าน รวมทั้งค่าเทอมลูกทนายตั้มด้วย รับรองให้ความเป็นธรรม ถ้ากระทำเป็นปกติ ขณะนี้คดีคืบหน้ากว่า 70-80 เปอร์เซ็นต์แล้ว แต่ยังต้องไล่สอบปากคำพยานอีกหลายปาก รวมถึงพยานตามสื่อออนไลน์ด้วย
กรณี น.ส.จตุพร หรือเจ๊อ้อย อุบลเลิศ เศรษฐินีชาวไทยอาศัยอยู่ประเทศฝรั่งเศส มอบอำนาจทนายความแจ้งความร้องทุกข์พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ดำเนินคดีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม อายุ 44 ปี ข้อหาฉ้อโกง หลอกให้ลงทุนซื้อแพลตฟอร์มหวยออนไลน์เป็นเงิน 71 ล้านบาท หลังรวบรวมหลักฐานออกหมายจับทนายตั้ม และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยา ข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน นำฝากขังเข้าเรือนจำไปแล้ว นอกจากนี้ยังบานปลายมีคดีที่เกี่ยวข้องอีก ตำรวจจับกุมนายนุวัฒน์ หรือนุ ยงยุทธ อายุ 34 ปี คนสนิททนายตั้ม และ น.ส. สารินี หรือสา นุชนารถ อายุ 30 ปี แฟนสาว กรณีหลอกลวงเงินเจ๊อ้อย 39 ล้านบาท ควบคุมตัวมาสอบสวนส่งฝากขังเข้าเรือนจำไปแล้ว โดยทั้งคู่ให้การปฏิเสธตามที่เสนอข่าวแล้วนั้น
ความคืบหน้าการสอบสวนคลี่คลายคดีจากกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 15 พ.ย. พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก.เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม คดีฉ้อโกงเงินและฟอกเงิน น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือเจ๊อ้อยว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ย. เชิญ น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ พี่สาวของนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของทนายตั้มเข้ามาให้ปากคำฐานะบุคคลใกล้ชิดทนายตั้ม หลังนายษิทราฉ้อโกงเงินส่วนต่างค่าเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม จำนวน 5.5 ล้านบาท จากเจ๊อ้อย แบ่งเงินก้อนดังกล่าวออกมาจำนวน 1 ล้านบาท ให้คนขับรถไปส่งมอบให้ น.ส.ปิณฑิรา
“จากการสอบปากคำทราบว่า เงิน 1 ล้านดังกล่าว ทนายตั้มมอบให้เพื่อนำไปดูแลใช้จ่ายในครอบครัว ทั้งค่าเทอมลูก รวมทั้งการใช้จ่ายต่างๆซึ่งเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้าเงินใช้จ่ายส่วนนี้หมดเมื่อไหร่สามารถเบิกทนายตั้มได้อีก หลังจากนี้พนักงานสอบสวนจะต้องมาตรวจสอบวิเคราะห์คำให้การและพยานหลักฐานต่างๆอีกครั้งว่ามีความเป็นไปได้ตามที่ น.ส.ปิณฑิราให้การหรือไม่ จากนั้นจะมาดูอีกทีว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดร่วมกันหรือไม่ โดยพนักงานสอบสวนจะให้ความเป็นธรรมทุกอย่าง” รอง ผบช.ก.กล่าว
พล.ต.ต.สุวัฒน์ กล่าวต่อว่า ส่วนความคืบหน้า ของสำนวนคดี ขณะนี้มีความคืบหน้าแล้วกว่า 70-80 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังมีอีกหลายประเด็นที่ต้องสอบปากคำเพิ่มเติม จะพยายามเรียกสอบปากคำบุคคลที่เกี่ยวข้อง อาจเป็นบุคคลที่มีประเด็นตามสื่อหรือโซเชียลต่างๆ ตำรวจจะเรียกมาสอบทั้งหมด เบื้องต้นวันนี้ยังไม่มีการเรียกบุคคลใดมาสอบปากคำเพิ่ม และยังไม่มีการออกหมายเรียกหรือหมายจับบุคคลใดเพิ่มเติม
“ส่วนปมเงิน 39 ล้านบาทยังอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน เมื่อชัดเจนแล้วจะประสานทั้งเรือนจำและทนายความเข้าไปแจ้งข้อหาทนายตั้มในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครเร็วๆนี้ ส่วนการอายัดบัญชีและทรัพย์สินของทนายตั้ม ขณะนี้ยังคงอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าอยู่ที่ใดบ้าง เพื่อจะได้อายัดเพิ่มเติมต่อไป” พล.ต.ต.สุวัฒน์กล่าว
แหล่งข่าว: ไทยรัฐ