เด้งเข้า ศปก.บก.จร.พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงแล้ว 7 ตำรวจจราจรกลางใช้อาญาเถื่อนรุมยำหนุ่มวัย 33 ปี ลูกชาย พ.ต.ท.อดีตตำรวจสอบสวนกลางจนตาแตกสาหัส ปม “จำผิดคันกระทืบผิดคน” คิดว่าเป็นคนขับรถแหกด่านเมาเพราะรถรุ่นและสีเหมือนกันเด๊ะ ด้าน “รองนพศิลป์” ชี้การกระทำ 7 ตำรวจมีมูลความผิด ฟันข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกาย ฝากไปยังครอบครัวเหยื่อเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมให้ความช่วยเหลือเต็มที่ ส่วนพ่อกับพี่สาวหนุ่มเคราะห์ร้ายเผยอาการยังสาหัส ยันไม่ยอมความถึงแม้จะให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงมาพูดคุยก็ตาม
กรณี น.ส.ธนัชตา เกิดศรี อายุ 29 ปี เข้าพบ พงส.บก.ปปป.เพื่อปรึกษาข้อกฎหมายเอาผิดตำรวจจราจรกลางประจำด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ 7 นาย รุมทำร้ายนายธนานพ เกิดศรี อายุ 33 ปี พี่ชายจนบาดเจ็บสาหัส ก่อนหน้านี้ช่วงเวลา 02.00 น. คืนวันที่ 4 ธ.ค. พี่ชายขับรถยนต์มาสด้า สีแดงเข้าด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ บนถนนประเสริฐมนูกิจ แขวงเสนานิคม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ไม่พบปริมาณแอลกอฮอล์ พอออกจากด่านไม่เกิน 500 เมตร มีตำรวจขี่รถ จยย. 3 คันและรถกระบะ 1 คัน ตามประกบบังคับให้ลงจากรถบริเวณริมถนนประเสริฐมนูกิจก่อนถึงตึก RS บอกว่าขับรถแหกด่านตรวจ พี่ชายปฏิเสธขัดขืนแต่ถูกตำรวจใช้กำลังรุนแรงเกินกว่าเหตุเตะเข้าที่ก้านคอ ใบหน้าและลำตัวจนเลือดอาบหน้า คอนแทกเลนส์หลุดแล้วควบคุมตัวกลับมาที่ด่าน เมื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ด่านถึงพบว่าไล่รถผิดคันกระทืบผิดคน อ้างว่ารถลักษณะคล้ายกันพร้อมขอโทษจากนั้นนำตัวส่ง รพ. หลังญาติทราบเรื่องแจ้งความที่ สน.บางเขน ดำเนินคดี ทั้งนี้ น.ส.ธนัชตาระบุว่า ตำรวจ บก.ปปป. แนะนำให้แจ้งข้อหาเพิ่มตามความผิด ม.157 และกักขังหน่วงเหนี่ยว ทั้งนี้ ตนและพี่มีพ่อเป็นอดีตตำรวจเกษียณราชการ ยศ พ.ต.ท.สังกัด บก.ปทส.ด้วย
ความคืบหน้าตำรวจจราจรกลางใช้อาญาเถื่อนควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยขับรถแหกด่านผิดคนครั้งนี้ เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 5 ธ.ค. พ.ต.ท.ธนชัย เกิดศรี อดีตพนักงานสอบสวน บก.ปทส. และ น.ส.ธนัชตา เกิดศรี พ่อและน้องสาวนายธนานพ เกิดศรี ผู้บาดเจ็บ เข้าพบพนักงานสอบสวน และชุดสืบสวน สน.บางเขน ก่อนเดินทางไปชี้จุดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรกลางตั้งด่าน เป็นจุดเดียวกับที่ตำรวจพาผู้บาดเจ็บเข้ามาจอดรถไว้ที่ข้างทาง หลังก่อเหตุรุมทำร้าย เพื่อตรวจสอบดูว่ารถผู้บาดเจ็บเป็นคันเดียวกับที่ได้ขับแหกด่านหรือไม่
น.ส.ธนัชตาเผยว่า อาการพี่ชายตอนนี้ยังต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จุดที่น่าเป็นห่วงคือบริเวณศีรษะทั้งหมดโดยเฉพาะบริเวณดวงตามีเลือดออกที่ตาขาวการมองเห็นยังไม่ปกติ ส่วนตามร่างกายยังมีร่องรอยการฟกช้ำจากการทำร้าย แต่ยังโชคดีไม่มีส่วนใดต้องผ่าตัด เหตุการณ์ครั้งนี้รู้สึกรับไม่ได้ยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุดไม่ว่าจะเข้าข้อกฎหมายข้อไหนก็พร้อมจะต่อสู้เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ เพราะพี่ชายไปคนเดียวไม่มีอาวุธ แต่ฝั่งคู่กรณีเป็นถึงตำรวจ มีด้วยกัน 7 นาย ทันทีที่รู้เรื่องรีบเดินทางมาที่ด่านตรวจทันที พยายามสอบถามว่าตำรวจคนใดเป็นคนทำแต่ไม่ได้รับคำตอบเอาแต่ก้มหน้า พี่ชายพยายามบอกแล้วว่าไม่ใช่คนที่ขับรถหนีด่าน
น.ส.ธนัชตายังฝากไปถึงตำรวจตั้งด่านทุกนายว่าทุกคนมีกล้องติดหน้าอก ได้พยายามที่จะขอดูแต่อ้างว่ากล้องเสียบ้างเปิดไม่ได้บ้าง อยากจะฝากถึงตำรวจตั้งด่านวันนั้นทุกนายให้เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผยเพื่อยืนยันเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ย้ำว่า “อยู่ที่ตำรวจจะกล้าหรือไม่กล้า” เมื่อวานนี้มีกระเช้าผลไม้-ดอกไม้ปริศนา ไม่รู้ว่าเป็นของใครตำรวจหน่วยหรือสังกัดใดบ้างนำเข้ามาเยี่ยม อยากจะขอย้ำว่าไม่ขอรับกระเช้าใดๆทั้งสิ้นเพราะไม่รู้ว่านำเอามาให้ด้วยเหตุผลอะไรแอบแฝง ได้แจ้งย้ำกับพยาบาลที่ดูแลแล้วของดเยี่ยมทุกกรณี
ขณะที่ พ.ต.ท.ธนชัย เกิดศรี พ่อคนเจ็บ เปิดเผยว่า ในฐานะเคยเป็นอดีตตำรวจ บก.จร.มาก่อนไปอยู่ บก.ปทส. ปกติแล้วตำรวจมีขั้นตอนใช้ยุทธวิธีเพื่อจับผู้ต้องหาด้วยเครื่องพันธนาการอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุแบบนี้ ถึงผู้ต้องหามีการต่อสู้หรือขัดขวางตำรวจก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปรุมทำร้ายร่างกาย จะพยายามเลี่ยงการใช้กำลังให้น้อยที่สุด การจับกุมต้องแสดงตัวเป็นตำรวจพร้อมแจ้งให้ทราบว่าทำอะไรผิดจากนั้นจะเชิญตัวมาที่ด่านหรือโรงพักในพื้นที่ เพื่อสอบปากคำและพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาภายหลัง เหตุที่เกิดขึ้นไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ เพราะมีโซเชียลเป็นหูเป็นตาให้ตลอด ยืนยันเช่นเดียวกับลูกสาวจะไม่มีการเจรจาไกล่เกลี่ยถึงแม้จะให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงลงมาพูดคุยก็ตาม
ด้าน พ.ต.อ.อนันต์ วรสาตร์ ผกก.สน.บางเขน กล่าวว่า พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำน้องสาวและแม่นายธนานพ เกิดศรี ผู้บาดเจ็บ ไว้ในฐานะพยาน ส่วนคนเจ็บแพทย์ไม่อนุญาตให้เข้าไปสอบปากคำ เพราะอาการยังสาหัส ส่วนผู้ก่อเหตุทั้ง 7 นายที่เป็นตำรวจตอนนี้ยังไม่มีการสอบปากคำ พนักงานสอบสวนอยากทราบพฤติการณ์กลุ่มผู้ก่อเหตุจากผู้เสียหายก่อน ยืนยันจะไม่ช่วยเหลือแม้ว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุจะเป็นตำรวจก็ตาม
ต่อมาเวลา 16.00 น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.เกียรติกุล สนธิเณร ผบก.น.3 และ พ.ต.อ.จิรกฤต จารุนภัทร รอง ผบก.จร.ร่วมแถลงถึงกรณีดังกล่าว พล.ต.ต.นพศิลป์กล่าวว่า จะให้ความเป็นธรรมโดยยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นจะไม่ช่วยเหลือตำรวจที่ร่วมกระทำความผิดทั้ง 7 นาย ผลสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรงของ บก.จร.พบว่ามีมูลสอดคล้องกับที่ญาติผู้เสียหายให้ข้อมูล รวมถึงผู้ก่อเหตุทั้ง 7 คนรับสารภาพ เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาผู้บังคับบัญชาทั้ง 7 คนได้คุมตัวไปมอบตัวกับ สน.บางเขน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้ได้รับอันตรายแก่กายและใจ ส่วนข้อหาอื่นๆหากตรวจสอบพบจะดำเนินคดีเพิ่ม
รอง ผบช.น.กล่าวยืนยันอีกว่า จะไม่ปกป้องช่วยเหลือหรือทำให้คดีบิดเบี้ยวอย่างที่สังคมตั้งข้อสังเกต จะทำคดีตรงไปตรงมาเพราะคดีนี้ข้อเท็จจริงมีเพียงอย่างเดียวประกอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากความผิดพลาดของตำรวจทั้ง 7 นายที่ไม่ตรวจสอบให้ละเอียดรอบคอบว่ารถที่แหกด่านเป็นรถผู้กระทำความผิดจริงหรือไม่ แม้ว่าหากผู้ได้รับบาดเจ็บ เป็นผู้ที่ขับรถฝ่าด่านจริงตำรวจก็ไม่มีสิทธิ์กระทำการลักษณะดังกล่าว
ส่วนประเด็นที่ทุกคนสงสัยว่าตำรวจทั้ง 7 นาย ทำไมมี 4 นาย ที่แต่งนอกเครื่องแบบ พล.ต.ต.นพศิลป์อธิบายว่าช่วงดังกล่าวมีการตั้งด่านกวดขันวินัยการจราจรของตำรวจกองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.)ขณะนั้นมีตำรวจประจำด่านทั้งหมด 15 นาย ระหว่างนั้นพบรถที่มีปัญหาเมาแล้วขับได้เชิญตัวเข้าด่านแต่คนขับรถได้ขับรถฝ่าด่านออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งก่อนหน้านั้นเพียง 5 นาที ผู้บาดเจ็บได้เข้าด่านตรวจเพื่อวัดระดับแอลกอฮอล์ 3 ครั้ง ตามขั้นตอนและไม่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด แต่รถไม่ติดแผ่นป้ายภาษี ได้ว่ากล่าวตักเตือนและปล่อยตัวไป
พล.ต.ต.นพศิลป์กล่าวอีกว่า หลังผู้ต้องสงสัยเมาแล้วขับที่ขับรถยนต์ที่มีลักษณะเหมือนกันกับผู้เสียหายขับรถแหกด่านออกไป ตำรวจในด่านได้ตะโกนไปว่ามีรถแหกด่านเป็นรุ่นและสีเดียวกับรถผู้เสียหาย ตำรวจทั้ง 7 นาย ประกอบด้วยนอกเครื่องแบบ 4 นาย ออกเวรแล้วแต่ยังอยู่ในจุดดังกล่าว และในเครื่องแบบ 3 นาย ที่ยังอยู่ในเวลาเวรได้สมัครใจขับรถตามรถผู้ต้องสงสัยไป หลังจากนั้นก็เป็นไปตามข้อมูลที่ญาติผู้เสียหายระบุ ยืนยันตำรวจมียุทธวิธีดำเนินการจะเริ่มจากพูดคุยด้วยวาจา หากพบพฤติการณ์ของฝ่ายตรงข้ามมีแนวโน้มจะใช้กำลังจะพิจารณาตามสัดส่วน ขอแสดงความเสียใจและฝากไปถึงครอบครัวผู้บาดเจ็บว่า กองบัญชาการตำรวจนครบาลรวมทั้งผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมช่วยเหลือผู้เสียหายเต็มที่ เพิ่งทราบว่าผู้เสียหายเป็นลูกตำรวจเช่นเดียวกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นลูกตำรวจหรือคนธรรมดาก็ไม่ควรเกิดเหตุลักษณะนี้ขึ้น
ขณะที่ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ บัณฑิตย์ ผบก.จร. เปิดเผยว่า ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมมีคำสั่งให้ตำรวจทั้ง 7 นาย หยุดปฏิบัติหน้าที่จากหน้าที่เดิมให้มาปฏิบัติหน้าที่ที่ศูนย์ปฏิบัติการ กองบังคับการจราจร เพื่อรอผลตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่เบื้องต้นยอมรับว่าตำรวจทั้ง 7 นาย ได้ติดตามควบคุมตัวผู้ขับรถยนต์คันหนึ่งที่ขับฝ่าด่านตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ก่อนพบรถยนต์ที่มีลักษณะคล้ายกันตำรวจจึงเข้าควบคุมตัว แต่ผู้ขับขี่มีท่าทีขัดขืนทำให้ต้องใช้กำลังควบคุมตัวก่อนทราบภายหลังว่าจับผิดคัน หลังเกิดเหตุนำตัวผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลพร้อมขอโทษ แต่ญาติผู้บาดเจ็บไม่ขอยอมความจึงเข้าแจ้งความตำรวจ สน.บางเขน เป็นสิทธิ์ผู้เสียหายว่าไปตามกฎหมาย
มีรายงานว่า พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ได้เซ็นคำสั่งให้ตำรวจจราจรทั้ง 7 นาย ทั้งหมดสังกัด กก.1 บก.จร. ไปปฏิบัติหน้าที่ที่ ศปก.จร.ทันที ตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค.ประกอบไปด้วย ร.ต.อ.ทวีพงษ์ อืดทุม ส.ต.อ.วัชรวี ทวีบุรุษ ส.ต.อ.วีระพงศ์ มะณี ส.ต.อ.ปพนธีร์ เลิศอนันต์ ส.ต.อ.กีรติ ประสพโชค ส.ต.ท.ณัฐพงษ์ ดุษฎี ส.ต.อ.จักรินทร์ ใคร่ครวญ เบื้องต้นทั้งหมดชี้แจงอ้างว่า ขณะตั้งด่านตรวจแอลกอฮอล์มีรถเก๋งมาสด้าสีแดงฝ่าด่านตรวจ ได้ติดตามไปจับกุม จนพบรถเก๋งมาสด้าสีแดงไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนผู้เสียหายจึงเข้าจับกุมคิดว่าเป็นรถคันที่ฝ่าด่านหลบหนี
แหล่งข่าว: ไทยรัฐ