กฟก. อัดฉีดงบประมาณกว่า 265 ล้านบาท เดินหน้าพัฒนาอาชีพ และเสริมองค์ความรู้ให้สมาชิกเป็นเกษตรกรยุคใหม่ ครบเครื่องทั้งการผลิต จำหน่าย และการเพิ่มมูลค่าสินค้า ปูทางสู่ความยั่งยืนในอาชีพเกษตรกรรม

นายกุญชร สุธรรมวิจิตร รองประธานกรรมการบริหารกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ทำหน้าที่ประธานกรรมการบริหารกองทุนฟื้นฟูฯ กล่าวถึงแผนการดำเนินงานด้านการฟื้นฟู และสนับสนุนอาชีพเกษตรกรในปี 2568 ซึ่งเป็นภารกิจหลักของสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) ว่ามีพี่น้องเกษตรกรสมาชิกที่รวมกลุ่มกันประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรม ทั้งการประมง ปศุสัตว์ การปลูกพืชผัก ผลไม้ การทำไร่สวนผสมต่างๆ เสนอโครงการขอรับงบประมาณสนับสนุนกว่า 2,000 โครงการ แต่ด้วยมีงบประมาณจำกัด ทำให้ต้องมีการคัดเลือกเหลือประมาณ 500 โครงการ ภายใต้งบประมาณเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรกว่า 265 ล้านบาท จากงบประมาณประจำปี 2568 กว่า 1,579 ล้านบาท

การสนับสนุนงบประมาณดังกล่าวเฉลี่ยโครงการละ 300,000-1,000,000 บาท จะทำให้เกษตรกรที่รวมกลุ่มกันมีเงินทุนไปพัฒนาอาชีพของกลุ่มตัวเอง อาทิ กลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะการเลี้ยงโคเนื้อเพื่อการส่งออก มีหลักเกณฑ์ว่าเกษตรกรที่รวมกลุ่มเลี้ยงโคเนื้อ ต้องมีพื้นที่ หรือ แปลงหญ้าสำหรับการเลี้ยง เพื่อง่ายต่อการบริหารจัดการ และมีอาหารเพียงพอในหน้าแล้ง เมื่อเลี้ยงจนได้น้ำหนักหรือโตพอที่จะส่งออก ก็จะมีการแนะนำตลาดให้ โดยเฉพาะตลาดประเทศจีน ที่ต้องการเนื้อโคขุนจำนวนมาก

ดังนั้นเมื่อทาง กฟก.สนับสนุนงบประมาณให้ จะทำให้เกษตรกรมีตลาดรองรับ สามารถสร้างงาน สร้างรายได้อย่างยั่งยืน นายกุญชร กล่าวอีกว่า ภารกิจการฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร นอกจากสนับสนุนงบประมาณในโครงการต่างๆ ตามที่เกษตรกรเสนอมาแล้ว ยังมีโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาองค์ความรู้ด้านการเกษตรให้กับเกษตรกรสมาชิกด้วย เพื่อให้เกษตรกรมีความรู้เพิ่มขึ้นในด้านการทำเกษตรผสมผสาน การทำตลาดยุคใหม่ โดยเฉพาะตลาดออนไลน์ รู้จักวางแผนการผลิต การเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ และการแปรรูปสินค้าต่างๆ เพื่อให้เกษตรกรยุคใหม่ มีความรู้ครบเครื่องทั้งการผลิต การจำหน่าย และการเพิ่มมูลค่าสินค้า อันความยั่งยืนของการทำอาชีพเกษตรในอนาคต

สำหรับเกษตรกรที่ต้องการเป็นสมาชิก หรือ ขึ้นทะเบียนองค์กรเกษตรกรและขึ้นทะเบียนหนี้ เพื่อให้ กฟก.เข้าไปช่วยเหลือ สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรสาขาจังหวัดทั่วประเทศ หรือ ติดต่อสอบถามข้อมูลเบื้องต้นได้ที่ โทรศัพท์ 02-158 0342 ในวันและเวลาราชการ จันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30-16.30 น.