“นายกฯ อิ๊งค์” นั่งหัวโต๊ะถกบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจนัดแรก “พิชัย” เผย เตรียมเงินหมื่นเฟสสอง ให้คนชรา 60 ปีขึ้นไป ไม่เกินตรุษจีน 68 ขณะเฟสสาม รอ เม.ย. – มิ.ย. หลังระบบปลอดภัย มั่นคง ด้าน “จุลพันธ์” ปัดดำเนินการหลัง “ทักษิณ” พูด

วันที่ 19 พ.ย. 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งแรก

ก่อนการประชุม นายกรัฐมนตรีระบุว่า จากข้อมูลเศรษฐกิจไตรมาสที่สามปี 2567 ที่สภาพัฒน์ฯ ประกาศเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 จะเห็นว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่องไตรมาสที่สาม จีดีพีขยายตัวที่ 3% ต่อปี เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่หนึ่งและสอง ที่ 1.6% และ 2.2% เมื่อรวมทั้งหมดขยายตัวที่ 2.3% จากการส่งออก การบริโภคของภาครัฐ การท่องเที่ยว และภาคก่อสร้าง ถือเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

รัฐบาลมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในศักยภาพที่จะเติบโตมากกว่านี้ จึงมีการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจชุดนี้ขึ้นมา เพื่อทำให้นโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาเกิดผลประโยชน์เป็นรูปธรรม กระตุ้นเศรษฐกิจไทยเติบโตเต็มศักยภาพ ไปพร้อมกับการดูแลคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และการกำหนดแนวทางในการเพิ่มขีดความสามารถของไทยในระยะยาว

ระยะสั้นจะมุ่งเน้นในการเพิ่มรายได้ และบรรเทาค่าครองชีพสำหรับประชาชนกลุ่มเปราะบาง ซึ่งรัฐบาลเริ่มดำเนินการผ่านการอุดหนุนค่าครองชีพสำหรับกลุ่มประชาชนที่มีรายได้น้อย ดังนั้นในระยะต่อ ๆ ไป ควรพิจารณาความเหมาะสมที่จะช่วยเหลือกลุ่มต่อไป เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ

นอกจากนี้ยังมีเรื่องสำคัญคือภาระหนี้สินของประชาชน แม้ในช่วงปี 2567 ระดับหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีจะปรับตัวลดลง เหลือ 89.6% จาก 90.7% ของไตรมาสก่อนหน้านี้ แต่ถือว่ายังอยู่ในระดับสูง ในแต่ละเดือนประชาชนยังมีภาระในการชำระหนี้สูง และมีความเสี่ยงในการที่จะผิดนัดในการชำระหนี้ จึงควรให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการแก้ปัญหานี้ครัวเรือนให้เป็นรูปธรรม เช่น สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ สินเชื่อเอสเอ็มอี ซึ่งกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างพิจารณาออกแบบมาตรการในการแก้ปัญหาหนี้ที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน ควบคู่ไปกับการรักษาวินัยการเงินการคลังของประชาชน

ส่วนมาตรการระยะยาว นายกรัฐมนตรีระบุว่า รัฐบาลจะให้ความสำคัญที่จะเพิ่มมาตรการการเติบโตทางเศรษฐกิจ และความสามารถของการแข่งขันของประเทศในอนาคต เชื่อว่าคณะกรรมการชุดนี้จะช่วยออกมาตรการช่วยเหลือต่อไป

ทั้งนี้ มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นางสาวจิราพร สินธุไพร และนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ และนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย นายดนุชา พิชนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมด้วย

เงินหมื่นเฟสสอง ให้คนชรา 60 ปีขึ้นไป ไม่เกินตรุษจีน 68

ต่อมานายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงหลังจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1/2567 ว่า วันนี้มีการประชุมพิจารณาการเติมเงินสู่ระบบดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทเฟสสอง ซึ่งคิดว่าจะเติมเงินให้ผู้ที่มีความจำเป็นก่อน เพราะตอนนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการระบบดิจิทัล เพื่อให้คนที่มีความเข้าใจมาใช้ หลังจากทดลองระบบเรียบร้อยแล้ว โดยระหว่างนี้จะพิจารณาบุคคลที่มีความจำเป็น คือคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งในกลุ่มนี้มีประมาณ 3 – 4 ล้านคน ซึ่งสามารถทำได้ทันที ส่วนคนที่เหลือจะดูความพร้อมของระบบ คาดว่าจะได้ช่วงประมาณปีหน้าเดือนเมษายน – มิถุนายน ปี 2568 โดยจะทบทวนและดูว่าสามารถทำต่อไปได้หรือไม่ โดยได้มอบให้กระทรวงการคลังไปดำเนินการสำหรับคนที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเสริมว่า จากการหารือได้คำนวณว่าจะแจกเฟสสองไม่เกินช่วงตรุษจีน หรือปลายเดือนมกราคม ปี 2568 โดยจะเติมเงินให้กับผู้สูงอายุด้วย และดูเรื่องการเปราะบาง ซึ่งต้องลงทะเบียนผ่านระบบทางรัฐในการทำดิจิทัลวอลเล็ตที่ผ่านมา และมีการตรวจสอบสิทธิให้ครบถ้วน ไม่เป็นกลุ่มที่ได้รับไปแล้วในเฟสแรก พร้อมยืนยันว่า จะไม่มีคนที่ได้เงินซ้ำ และต้องเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างลำบาก ซึ่งจะโอนเป็นเงินสดโดยวางงบประมาณไว้ที่ 4 หมื่นล้านบาท ส่วนการดำเนินการสำหรับกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน จะดำเนินการเป็นลำดับถัดไป และคาดว่าจะใช้ระยะเวลาไม่นาน

ส่วนระยะต่อไปที่มีการลงทะเบียนไว้แล้ว อย่างแรกต้องดูเรื่องความปลอดภัยของระบบ และตรวจสอบระบบให้มีความมั่นใจ เพื่อเป็นแอปกลางของรัฐที่ประชาชนสามารถใช้งานได้ ส่วนกรอบเวลาคาดว่าจะเป็นไตรมาสที่ 2 เดือนเมษายน – เดือนมิถุนายน 2568

เมื่อถามว่าทำไมความชัดเจนของโครงการถึงมาหลังจากที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พูดปราศรัย นายพิชัย ระบุว่า ไม่ได้หลังจากนายทักษิณพูด แต่มีการหารือกันมาหลายเดือนแล้ว และพิจารณากันหลายมิติ ส่วนที่ว่าคิดดังจนไปถึงนายทักษิณนั้น เวลาคิดอะไรสื่อมวลชนก็ได้ยินตลอด อาจจะเป็นเพราะเราคิดดังไปหน่อย