ผบช.ก.ระบุยึดอายัดทรัพย์สิน “ทนายตั้ม” เป็นเงินสดในบัญชี 28 ล้านบาท บ้านพักหรูราคา 43 ล้าน ตามข้อมูลมาจากเงินที่อยู่ในก้อน 71 ล้านบาท ส่วน “นุกับสาริณี” ตัวละครคดีโอนเงินคริปโต 39 ล้านบาท ยังพบอยู่ในประเทศ ด้าน “ทนายสายหยุด” เผยหลังเยี่ยมเมียทนายตั้มตามคำสั่งพบมีอาการเครียดเป็นธรรมดา ส่วนใหญ่จะฝากข้อความถึงลูกและให้ญาติเข้ามาเยี่ยม เจ้าตัวเล่าข้อตกลงหลังทั้งคู่แต่งงาน ทรัพย์สินทุกอย่างจะเป็นชื่อฝ่ายหญิงรู้เพียงแค่นี้ ด้านโทรโข่งคุกเผย “ทนายตั้ม” และภรรยายังเครียด ส่วนข่าวโดนจองกฐินเฝ้าระวังอยู่แล้ว
ภายหลัง “ทนายตั้ม” นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน พร้อมนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ถูกกองปราบฯจับกุมในคดีหลอกลวงเงิน น.ส.จตุพร หรือเจ๊อ้อย อุบลเลิศ เศรษฐินีชาวไทยอาศัยอยู่ประเทศฝรั่งเศส ให้ลงทุนซื้อแพลตฟอร์มหวยออนไลน์ 71 ล้านบาทเศษ ก่อนถูกนำตัวส่งฟ้องศาลอาญา ในข้อหาฉ้อโกง ข้อหาฟอกเงิน ข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบฟอกเงิน ขณะที่นางปทิตตาถูกศาลออกหมายจับข้อหาร่วมกันฟอกเงิน ในคดีโกงเงิน 71 ล้านบาท ก่อนที่ทั้งคู่จะถูกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คุมตัวเข้าเรือนจำและทัณฑสถานหญิงกลาง
ขณะที่กองปราบฯยังจ่อทำคดีที่เจ๊อ้อยแจ้งความกล่าวหาว่าทนายตั้มหลอกลวงเงินอีกคือหลอกโอนเงิน 39 ล้านบาท หลอกซื้อรถเบนซ์ เอสยูวี ฟันส่วนต่าง 1.5 ล้านบาท รวมทั้งลวงให้จ่ายค่าเขียนแบบโรงแรมอีก 9 ล้านบาททั้งที่ราคาจริง 3.5 ล้านบาท ตามที่เสนอข่าวไปนั้น
ความคืบหน้าในคดีนี้ เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 11 พ.ย. ที่ห้องประชุมชั้น 2 อาคารประชาอารักษ์ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. แถลงความคืบหน้าการดำเนินคดี “ทนายตั้ม” นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ว่า ตอนนี้แจ้งข้อหาทั้งหมดตามที่มีข่าวก่อนหน้า ส่วนที่มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้านี้ว่าจะมีบุคคลถูกดำเนินคดีเพิ่มอีก 1 คนนั้นอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน หากมีพยานหลักฐานไปถึงใครจะออกหมายจับเพิ่มเติมแต่คงไม่อธิบายล่วงหน้าก่อน หากดำเนินการแล้วเสร็จจะแถลงข่าวให้ทราบ ยืนยันว่าหากจะมีการออกหมายจับใครเพิ่มเติมจะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา
ผบช.ก.กล่าวต่อว่า สำหรับทรัพย์สินทนายตั้ม ขณะนี้ได้ตรวจยึดเงินในบัญชี 28 ล้านบาท และที่ดินเป็นบ้านหรูฝั่งธนฯราคา 43 ล้านบาท ที่มีข้อมูลว่ามาจากเงินที่อยู่ในก้อน 71 ล้านบาท ส่วนทรัพย์สินอื่นๆจะมีประเภทรถยนต์ ทรัพย์สินประเภทสิ่งของ ส่วนทรัพย์สินในตู้เซฟหลังจากเปิดแล้วยังไม่พบทรัพย์สินในตู้ดังกล่าว รวมถึงนาฬิกาหรูที่ทนายตั้มเคยใส่ตอนนี้ตำรวจยังไม่พบ ส่วนขณะนี้มีข้อมูลเบาะแสเกี่ยวกับนายนุ และ น.ส.สาริณี นุชนารถ ในคดีคริปโต 39 ล้านบาทเพิ่มเติมหรือไม่นั้น พล.ต.ท.จิรภพระบุว่า จากที่ได้รับรายงานเบื้องต้น บุคคลดังกล่าวทั้ง 2 คน ได้รับข้อมูลว่ายังอยู่ในประเทศ
ต่อมาเวลา 15.25 น. ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ มหานคร นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ให้สัมภาษณ์หลังเข้าเยี่ยมนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาทนายตั้ม ว่า วันนี้ไปเยี่ยมนางปทิตตาก่อน เพราะทนายตั้มสั่งไว้ว่าหากจะประกันตัวหรือทำอะไรให้ไปที่ภรรยาเขาก่อน ใช้เวลาพูดคุยประมาณ 15 นาที เป็นธรรมดาที่คนเคยอยู่ข้างนอกแล้วถูกคุมขังต้องมีอาการเครียดวิตกกังวล เป็นห่วงคนข้างนอกและกังวลใจเรื่องลูกคิดถึงลูกฝากข้อความถึงลูก และฝากบอกญาติเข้ามาเยี่ยม รวมถึงถามว่าเมื่อไหร่จะประกันตัว ตนยังตอบไม่ได้ต้องรอพ้นฝากขังผัดแรก 12 วันไปก่อน แต่ตนจะเข้าเยี่ยมทนายตั้ม ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในวันที่ 12 พ.ย.
นายสายหยุดกล่าวต่อว่า สำหรับการปรับตัว ได้บอกนางปทิตตาไม่ต้องกังวล ทำใจให้สบาย ต้องอยู่ให้ได้ นางปทิตตาให้ข้อมูลอย่างเดียวคือหลังตกลงแต่งงานกับทนายตั้ม ทุกอย่างต้องโอนเป็นชื่อฝ่ายหญิงรู้แค่นี้ อย่างอื่นไม่ทราบ ไม่รู้ว่าทนายตั้มไปทำอะไร อย่างไร ที่ไหน รู้เพียงแต่ว่าทนายตั้มไปรับโอนที่ดิน ทนายตั้มเป็นคนซื้อแคชเชียร์เช็คไปในวันรับโอน ส่วนที่หลายคนถามว่าผัวเมียอยู่ด้วยกันไม่รู้ได้อย่างไร บางคนก็ปกปิด ไม่จำเป็นต้องบอกทุกอย่างว่าไปทำอะไรมา ทนายตั้มก็เป็นทนายดัง ทำงานมานานจะซื้อบ้านราคา 30 ล้านปลายๆ ก็พอเป็นไปได้ หากเขาไปทำคดีหรือได้เงินส่วนไหนมาหรือนางปทิตตาอาจจะรู้ตนก็ตอบแทนไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์
ทนายของทนายตั้มกล่าวอีกว่า จะเดินหน้า ประกันตัวนางปทิตตาก่อน ส่วนทนายตั้มจะอยู่ในเรือนจำจนกว่าจะพิจารณาคดี สั่งตนไว้ตั้งแต่วันแรกไม่ต้องประกันตัวให้ประกันภรรยาออกไปดูแลลูกก็พอ มองว่าตัวทนายตั้มอาจจะประกันตัวไม่ยากเพราะเป็นทนายมา 20 ปี น่าจะพอทราบดี การประกันตัวที่ผ่านมานั้นศาลได้รับคำร้องแต่ยกคำร้อง ไม่อนุญาตให้ประกัน ส่วนการประกันตัวครั้งหน้า ไม่อยากคาดเดา ต้องดูองค์ประกอบหลายๆอย่างเช่น การสอบสวน การรวบรวมของพนักงานสอบสวน และพยานหลักฐานที่ตนจะเอามาประกอบคำร้องว่านางปทิตตาน่าจะไม่ทราบว่าเงินที่เอามาซื้อได้จากการกระทำความผิด เพราะภาระการพิสูจน์อยู่ที่ฝ่ายผู้กล่าวหาที่พิสูจน์ให้ได้ว่าภรรยาทนายตั้มรู้หรือควรจะรู้ว่าเงินที่เอามาซื้อได้มาจากการกระทำความผิด
เมื่อถามถึงปมเงินคริปโต 39 ล้านบาท นายสายหยุดกล่าวว่า ไม่อยากก้าวล่วง คดีนี้ยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาทนายตั้ม และตนยังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ หากมีการออกหมายจับทั้ง 2 คน ในภายหลังแล้วมีความเกี่ยวพันกับทนายตั้ม มองตามหลักกฎหมายแล้วคนที่ซัดทอดคนอื่นเพื่อให้ตัวเองพ้นผิดก็เป็นพยานที่ฟังได้ยากเหมือนกัน และยังไม่ได้ถามรายละเอียดเรื่องนี้กับลูกความเช่นกัน ถ้าดูพยานหลักฐานของตำรวจแล้วชัดเจนว่าลูกความตนทำผิดจริงไม่รับทำแน่นอน ถ้าตนดูแล้วอย่างที่เป็นข่าวว่ามีอันนั้นอันนี้มาแตะเชื่อมโยงฟังดูว่าเขาผิดแล้วให้ไปสู้คดีคงไม่รับ เพราะทำคดีแพ้ไม่อยากทำ
ส่วนประเด็นเงิน 71 ล้านบาท หรือ 2 ล้านยูโร ที่ก่อนหน้านี้ธงการต่อสู้คดีเปลี่ยนจากให้โดยเสน่หามาเป็นให้เพื่อการลงทุนนั้น นายสายหยุดกล่าวว่า ในคดีแพ่งบอกไว้ว่า “ผู้ให้ให้ทรัพย์ ผู้รับทรัพย์” บอกไว้เพียงแค่นี้ แต่ต้องมาตีความว่าที่ทนายตั้มบอกว่า ให้โดยเสน่หานั้นเหมือนการไปขอเงินมาทำธุรกิจเลี้ยงครอบครัว ไปขอ 2 ล้านยูโร เจ๊อ้อยบอกว่า “ไม่มากนิ เดี๋ยวพี่ช่วย” ทนายตั้มก็รับมา ข้อเท็จจริงตรงที่ว่าจะคืนเมื่อไหร่ คืนอย่างไร ตรงนั้นหายไป ทำให้ทนายตั้มเข้าใจว่าให้โดยเสน่หา แต่ถ้าไม่ให้โดยเสน่หาก็เทียบเคียงเป็นยืมหรือเปล่า นี่เป็นความคิดตน
นายสายหยุดกล่าวอีกว่า ส่วนที่ทนายตั้มไปพูดในรายการโหนกระแส หนุ่ม กรรชัยไม่ใช่พนักงานสอบสวน ไม่ใช่คำให้การ พูดไปแบบนั้นตนก็ไม่รู้คิดยังไงเงินที่ได้ ทนายตั้มก็ทำคนเดียว ไม่ได้ชวนใครมาลงทุน หรือตอนได้เงินมาก็ไม่ได้พูดว่าจะให้ผลตอบแทนพี่อ้อยเท่าไหร่ หรือมีลักษณะการชวนลงทุน คำให้การของทนายตั้ม มองว่า เมื่อไม่ได้พูดเรื่องชักชวนลงทุนมันเป็นการหลอกตรงไหน ตนบอกว่า ถ้ายืมก็ยืมมาทวงตามกฎหมาย มีข้อกฎหมายยึดทรัพย์ ไม่ใช่มารวมทุกอย่างแบบนี้แล้วเอาเข้าคุก แบบนี้ไม่น่าจะถูก
นายสายหยุดยังย้ำอีกว่า ทนายตั้มไปขอเงินมาลงทุนไม่ได้มีคำว่า “ยืม” ที่ผ่านมาเจ๊อ้อยก็ไม่ได้ทวงถามอะไร ตั้งแต่ที่ยืมมาเมื่อช่วง ม.ค.67 แต่เพิ่งจะมาทวงคืนเดือน ก.ย. และตอนที่ไปขอเงินก็ไม่มีสัญญา มองว่าหากบอกว่าทนายตั้มหลอกลวงเอาเงินมาลงทุน ทำไมถึงไม่มีการถามความคืบหน้า ผลตอบแทนหรืออะไร ตนยืนยันว่าไม่ใช่การร่วมลงทุน และเมื่อตอนที่เจ๊อ้อยมาทวงทนายตั้มก็มาบอกกับตน ตนบอกว่ารอไว้ละกัน มาฟ้องก็ไปไกล่เกลี่ยกัน ส่วนเงินที่กองปราบฯยึดมาเป็นเงินสด 28 ล้าน และบ้านมูลค่า 43 ล้าน รวมกันแล้วได้ 71 ล้านบาท ประเด็นนี้ตรงกับเงินที่ทนายตั้มไปขอมาใช่หรือไม่นั้น ประเด็นนี้ยังไม่ได้ถาม แต่ที่ทราบแคชเชียร์เช็ค 2 ใบ 9 ล้าน และ 29 ล้านบาท รวมกัน 38 เกือบ 39 ล้าน ส่วนเงินสดในบัญชีที่อายัดไปไม่ทราบ ตนถือว่าเป็นมาตรการยึดทรัพย์ของ ปปง. ถ้าเราสู้คดีหลักได้เขาก็คืนให้
หลังนายสายหยุดให้สัมภาษณ์เสร็จ ได้เจอกับนายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความบอสพอลที่ออกมาจากเรือนจำหลังดีเอสไอแจ้งข้อกล่าวหา 18 บอส ดิ ไอคอนเสร็จสิ้น และมารอให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ทนายสายหยุด ได้เดินเข้าไปจับแขนให้กำลังใจด้วยท่าทีเป็นกันเอง และบอกกับทนายวิฑูรย์ว่าถ้าทนายตั้มเขา “เจอกับบอสดิ ไอคอน ก็ฝากฝังบอสให้ดูแลพี่ตั้มให้ปรับทุกข์กันนะข้างนอกก็ลืมซะ”
วันเดียวกัน นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผอ.กองทัณฑวิทยา รรท.ผอ.ทัณฑสถานหญิงกลาง ในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า กรณีทนายตั้ม หลังเข้ามาเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ช่วง 2 วันที่ผ่านมา ถือว่าอยู่ระหว่างปรับตัวคงใช้เวลาอีกระยะ ไม่มีอะไรน่ากังวล เจ้าตัวเครียดบ้างแต่ไม่มาก ส่วนภรรยาทนายตั้มในทัณฑสถานหญิงกลางมีอาการเครียดเล็กน้อยเหมือนกัน ทั้งคู่ไม่ได้ร้องขออะไรเป็นพิเศษ เมื่อถามว่าทนายตั้มอาจมีคนจองกฐินไว้เยอะมีมาตรการดูแลเป็นพิเศษหรือไม่หรือแยกคุมขังอย่างไร นางกนกวรรณกล่าวว่า เป็นเรื่องที่กรมราชทัณฑ์ต้องเฝ้าระวังไม่ใช่เฉพาะทนายตั้มเพียงคนเดียว เรือนจำทุกแห่งทั่วประเทศคำนึงถึงความปลอดภัยและสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องสำคัญ ขณะนี้ทนายตั้มอยู่แดนกักโรคตามมาตรการป้องกันโควิด-19 ยังไม่ได้เจอกับกลุ่มบอสดิไอคอน ส่วนกรณีทนายตั้มจะมีอาชีพทนาย มีผลต่อการสร้างอิทธิพลในเรือนจำหรือไม่ ยืนยันว่าเรือนจำทุกแห่งมีการเฝ้าระวังในการที่บุคคลจะสร้างอิทธิพลในเรือนจำ เชื่อว่าไม่น่าเกิดขึ้น ส่วนกระแสข่าว ผกก.โจ้ ถุงดำ แม้อยู่คนละเรือนจำแต่มีเส้นสายอาจจองกฐินทนายตั้มนั้น ยังไม่มีข้อมูลเรื่องดังกล่าว
แหล่งข่าว: ไทยรัฐ