“ผบ.ตร.” ยืนยันเคารพกฎหมาย ไม่แทรกแซงมติบอร์ด รพ.ตำรวจ “เปิด-ไม่เปิด” ประวัติทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ารักษาตัว 181 วัน
วันที่ 10 พ.ย. 2567 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีรายงานว่า ตั้งแต่ ก.ตร.มีมติให้ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ผบ.ตร.กำชับตำรวจทุกนายว่า ต้องให้บริการประชาชนทุกคนอย่างเป็นธรรมและรักษากฎหมาย และผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นต้องเร่งรัดและตั้งใจทำงานกับคดีต่างๆ ที่สังคมให้ความสนใจในช่วงนี้อย่างรวดเร็ว เช่น คดีป๋าเบียร์และแม่ตั๊กฉ้อโกงประชาชนในการหลอกขายทองคำ, คดีดิไอคอนกรุ๊ปฉ้อโกงประชาชน, คดีภรรยาบิ๊กตำรวจ และคู่กรณี คดีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด, คดีตำรวจ 6 นาย ร่วมกันอุ้มและรีดทรัพย์ชาวจีน, คดีบ่อนและพนันออนไลน์, คดีทุนจีนสีเทา, คดีหลอกลวงประชาชนทางสังคมออนไลน์, การจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่จำนวนมากและคดีอื่นๆ ที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ
เนื่องจาก ผบ.ตร.ให้นโยบายกับผู้ใต้บังคับบัญชาว่า ทุกคดีที่เกิดขึ้นต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว รอบคอบ เป็นธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อสร้างชื่อเสียงที่ดีและกอบกู้ภาพลักษณ์ขององค์กรตำรวจให้สังคมเชื่อมั่นอีกครั้ง หากตำรวจรายใดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ผบ.ตร.เน้นว่าต้องดำเนินคดีถึงที่สุดอย่างเด็ดขาดทุกราย
กรณีที่ปรากฏทางสื่อว่า ป.ป.ช. ทำเรื่องขอเวชระเบียนการรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะที่รับโทษ จากโรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 ไปถึง 3 ครั้ง แต่ไม่ได้รับการตอบกลับนั้น ตนรับทราบเรื่องดังกล่าวแล้วว่า มีหน่วยงานหรือองค์กรอิสระติดต่อขอข้อมูลการรักษาตัวของทักษิณจากโรงพยาบาลตำรวจ
แต่ในส่วนของการบริหารราชการ ถึงแม้ตนจะเป็นผู้บังคับบัญชา แต่อำนาจสิทธิ์ขาดขึ้นอยู่กับคณะกรรมการของโรงพยาบาลตำรวจที่จะต้องพิจารณาคำร้องขอว่าสามารถให้ได้หรือไม่
อย่างไร ขอยืนยันว่า ประเด็นนี้โรงพยาบาลตำรวจไม่จำเป็นต้องขอความเห็นจาก ผบ.ตร. ส่วนเรื่องดังกล่าวจะมีนัยยะอะไรหรือไม่ ตนไม่ทราบ แต่กำชับให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
สำหรับในส่วนกรณีของฝ่ายการเมือง นักเคลื่อนไหวทางสังคม และนักกฎหมายบางคน พยายามกดดันมาที่ผบ.ตร. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่าผบ.ตร.ต้องสั่งการให้โรงพยาบาลตำรวจส่งข้อมูลของนายทักษิณให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อ หาก ผบ.ตร.ไม่กระทำ อาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 นั้น หากพิจารณาสิ่งที่ได้กล่าวกับสื่อมวลชนในเรื่องนี้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ขอชี้แจงว่า กรณีของนายทักษิณนั้น ผบ.ตร. จะไม่แทรกแซงการทำงาน การพิจารณาและการตัดสินใจของหน่วยงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้ที่ต้องพิจารณาในรูปแบบของคณะกรรมการ โดยขอให้ไล่เรียงไทม์ไลน์กรณีนี้ด้วยว่า นายทักษิณ กลับประเทศและไปรายงานตัวต่อศาลและเข้าเรือนจำในวันที่ 22 ส.ค.2566 และรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ 181 วัน โดยช่วงนั้นผู้บังคับบัญชาที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติคือ พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ และพลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล อดีต ผบ.ตร. โดยช่วงนั้นได้รับการแบ่งงานจาก พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ให้กำกับดูแลหัวหน้าศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ศปปง.ตร.), ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) และพล.ต.อ. ต่อศักดิ์ มอบให้พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ รับผิดชอบงานป้องกันและปราบปราม
ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า หากพิจารณาไทม์ไลน์อย่างเป็นธรรมจะพบว่า การรับผิดชอบหน้าที่ของตนในช่วงที่เป็นรอง ผบ.ตร.กับกรณีนายทักษิณที่เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจนั้น จะพบว่า ในช่วงนั้นตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลตำรวจเลย แต่กระแสกดดันจากหลายฝ่ายในตอนนี้ที่พยายามโยงว่า ผบ.ตร.อาจไม่ให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลของนายทักษิณและอาจมีความผิดไปด้วยนั้น ต้องพิจารณาข้อกฎหมายและเคารพการพิจารณาของคณะกรรมการของโรงพยาบาลตำรวจในกรณีนี้ด้วย
หากบางฝ่ายระบุว่าผบ.ตร.มีอำนาจสั่งการให้โรงพยาบาลตำรวจดำเนินการในเรื่องนี้ได้นั้น ควรพิจารณาอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายที่มอบให้ ผบ.ตร.รับผิดชอบด้วยว่ากระทำ, ไม่กระทำอะไรได้บ้าง
ขอยืนยันว่า แม้วันนี้ ผบ.ตร.มีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย แต่ ผบ.ตร.ก็ต้องเคารพกฎหมายเหมือนประชาชนทุกคน ดังนั้น ผบ.ตร.จะกระทำในสิ่งนอกเหนือกฎหมายให้อำนาจหน้าที่ไม่ได้ ตามนโยบายของตนคือ ทำดียกย่อง สรรเสริญ เชิดชู ให้รางวัล แต่ถ้าทำผิด ต้องมีความเด็ดขาดในการดำเนินการทางวินัย ซึ่งต้องการให้สังคมรับรู้ถึงภาวะความเป็นผู้นำ ที่ปรารถนาให้ข้าราชการตำรวจเป็นข้าราชการที่ดีของประชาชนให้ได้.
แหล่งข่าว: ไทยรัฐ