
“บิ๊กต่าย” ขอสังคมอย่ามองดีเอสไอ แย่งงานตำรวจ คดี “ดิไอคอนกรุ๊ป” ทุกคนเห็น ปชช.เดือดร้อน กำชับชุดทำคดีเต็มที่จนส่งมอบงาน พร้อมย้อน ตำรวจนั่งแท่นโค้ชดิไอคอน เอาเวลาที่ไหนไปทำแบบนี้ กระทบต่อเวลาราชการ เบียดบังเวลาในการทำงานให้พี่น้องประชาชนหรือไม่
เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2567 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดี 18 ผู้ต้องหาของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด หลังจับกุมตัวทั้งหมดว่า การขยายผลความผิดและเครือข่ายผู้ต้องหาเป็นเรื่องที่ตำรวจชุดสืบสวนและสอบสวน จะต้องดำเนินการต่อตามขั้นตอน รวมไปถึงการเก็บรวบรวมพฤติการณ์การกระทำความผิด เส้นทางการเงินบัญชีของตัวผู้ต้องหาและรอบด้านที่เกี่ยวข้อง แต่ทั้งหมดนี้ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับตัวผู้ต้องหาที่ทำการจับกุมมาก่อนหน้าว่าจะให้ความร่วมมือต่อการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจมากน้อยเพียงใด แต่ถึงแม้จะไม่มีการให้การที่เป็นประโยชน์เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะต้องทำงานต่อให้ได้
ถามว่าในการที่จะส่งต่อคดีนี้ให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งทราบมาว่าขณะนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาแล้ว ผบ.ตร. กล่าวว่า ตำรวจได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับดีเอสไอ เพื่อพิจารณาเงื่อนไขของคดี จำนวนผู้เสียหาย จำนวนทรัพย์สิน ฐานความผิด เพื่อให้การส่งมอบเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งในระหว่างที่ยังไม่ได้ทำการส่งมอบ พนักงานสอบสวนเองจะทำการสืบสวนสอบสวนขยายผลให้ถึงที่สุดก่อน การที่วานนี้ ดีเอสไอมีการตั้งคณะทำงานพิจารณา ตนเองเชื่อว่าเป็นการเตรียมที่จะพิจารณาว่าเรื่องนี้เข้ากับอำนาจหน้าที่หรือไม่
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ทั้งนี้ไม่อยากให้สังคมมองว่าเกิดการแย่งงานระหว่างหน่วยงาน เพราะแต่ละหน่วยงานต่างมีหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการดูแลที่แตกต่างกัน ยอมรับว่ารู้สึกดีที่แต่ละองค์กรที่มีหน้าที่ได้เข้ามาช่วยกันพิจารณา เพราะสะท้อนว่าหน่วยงานราชการเห็นถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ถูกกระทำเป็นวงกว้าง หากแต่ละหน่วยงานนิ่งเฉยสิ่งนี้จะเป็นเรื่องไม่น่าสบายใจ
“จากนี้หากคดีอยู่ในความดูแลของดีเอสไอ และมีการร้องขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สนับสนุนช่วยเหลือ ยืนยันว่าพนักงานสอบสวนจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับการรับแจ้งความร้องทุกข์จากประชาชนผู้เสียหาย ในอนาคตเป็นไปได้ที่จะมีอีก หน่วยงานที่ช่วยรับเรื่องนอกจากที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งจัดเป็นศูนย์รับแจ้งความอย่างไม่มีกำหนดเวลา ซึ่งปัจจุบันมีประชาชนแจ้งความจากกรณีดังกล่าวเข้าระบบแล้ว 1,100 ราย วันนี้คาดว่าจะมีเพิ่มเป็น 1,300 ราย เพราะแต่ละวันจะมีข้อมูลเข้าสู่ระบบที่ประมาณ 200-300 ราย” ผบ.ตร. กล่าว
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวถึงกรณีที่ในสื่อโซเชียลส่งต่อภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจใส่เครื่องแบบและให้ข้อมูลความรู้ในเชิงเป็นโค้ชของบริษัทดิไอคอนกรุ๊ปฯ ว่า ตนเองได้เห็นภาพ และผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการสอบสวนแล้ว จากนี้จะต้องพิสูจน์ทราบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจคนดังกล่าวมีสถานะเป็นโค้ช พรีเซนเตอร์ หรือเกี่ยวพันอะไรกับบริษัทดังกล่าวหรือไม่ และจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดอะไรหรือไม่ หากพบว่ากระทำผิดจริง จะต้องมีการลงโทษทั้งทางวินัยและอาญา เนื่องจากเป็นข้าราชการตำรวจ รวมทั้งจะต้องถามว่าตัวของตำรวจรายนี้เอาเวลาที่ไหนไปทำแบบนี้ กระทบต่อเวลาราชการ เบียดบังเวลาในการทำงานให้พี่น้องประชาชนหรือไม่
รายงานข่าวแจ้งว่า สื่อโซเชียลมีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับตำรวจชั้นประทวน ยศ ส.ต.อ. ของ สภ.คลองหอยโข่ง จ.สงขลา มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจเครือข่ายของ บอสพอล หรือ ดิ ไอคอน กรุ๊ป ที่กำลังเป็นข่าวดัง และสามารถทำยอดขายสูงได้ทั้งทริปไปท่องเที่ยวยุโรปหลายประเทศ รวมทั้งได้รางวัลเป็นรถเบนซ์ป้ายแดง และยังเป็นโค้ชสอนการขายผ่านทางออนไลน์ให้กับคนที่สนใจด้วย โดยล่าสุด พ.ต.อ.ชาตรี รัตนคช ผกก.สภ.คลองหอยโข่ง เปิดเผยว่า หลังทราบเรื่องทางผู้บังคับบัญชาระดับสูง รวมทั้งตนที่เป็นหัวหน้าสถานี ได้ทำการตรวจสอบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเบื้องต้นแล้ว
แหล่งข่าว: ไทยรัฐ