ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการจ่ายหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าบีทีเอส ส่วนต่อขยาย 1 หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และส่วนต่อขยาย 2 แบริ่ง-สมุทรปราการ ของ กทม. ต่อ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (บีทีเอสซี) ว่า หลังจากศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาให้ กทม. และบริษัทกรุงเทพธนาคม ร่วมกันชำระเงินหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าบีทีเอส ส่วนต่อขยาย 1 หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต จำนวน 2,348 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 2,199 ล้านบาท และสำหรับส่วนต่อขยาย 2 แบริ่ง-สมุทรปราการ จำนวน 9,406 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 8,786 ล้านบาท ปรากฏว่า กทม.ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ เมื่อวันที่ 22 ต.ค.67 ว่าคดีนี้ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยว่าการดำเนินการโครงการดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังไม่มีการชี้มูลความผิด อดีตผู้บริหาร กทม.จึงไม่มีผลต่อสัญญาพิพาทในครั้งนี้

เกี่ยวกับเรื่องนี้ รายงานข่าวแจ้งว่าเมื่อวันที่ 4พ.ย.67 ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของ กทม.และบริษัทกรุงเทพธนาคม ไว้พิจารณา โดยระบุว่าเหตุผลที่ กทม.และบริษัทกรุงเทพธนาคม กล่าวอ้างในคำร้องขอให้มีการพิจารณาคดีใหม่นั้น เป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในสำนวนคดีแล้วในชั้นการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด ซึ่งการที่ศาลปกครองสูงสุดจะยกข้อเท็จจริงหรือพยานใดมาวินิจฉัย ย่อมเป็นดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล อีกทั้งประเด็นความชอบด้วยกฎหมายของสัญญาที่พิพาทในคดีนี้ก็ได้รับการวินิจฉัยแล้วโดยมติของที่ประชุมใหญ่ของศาลปกครองสูงสุด ศาลจึงไม่อาจรับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ไว้พิจารณาได้

รายงานข่าวแจ้งว่า อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าว กทม.และบริษัทกรุงเทพธนาคม มีสิทธิยื่นคำร้องขออุทธรณ์คำสั่งไม่รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ไว้พิจารณาต่อศาลปกครองสูงสุด ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่งศาล.