งานเข้าตำรวจหลังเพจดังโพสต์ภาพแฉนั่งรายล้อมกินอาหารกับ “แม่ตั๊ก-กรกนก” หวั่นส่งผลกระทบคดี ผบก.ปคบ.ชี้แจงระบุ ทั้ง 3 นาย เป็นตำรวจสังกัด บก.ปคบ. บก.ปอท. และ บช.สอท. สั่งตรวจสอบและเขียนรายงานชี้แจง ลูกค้าร้านทองแม่ตั๊กทั่วสารทิศแห่เดินทางมาขายทองคืนที่ร้านไม่ขาดสายอีกเกือบ 200 ราย สาววัย 42 ถ่อมาจาก จ.สงขลา ซื้อสร้อยทอง 6 เส้น เก็บไว้ตั้งแต่ปี 63 หิ้วมาขายคืนทั้งหมด ทีแรกตัดใจจะนำไปหลอมทำบุญหล่อพระพุทธรูป แต่เปลี่ยนใจเพราะเห็นคนนำมาขายแล้วได้เงินคืน ส่วนแม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์ยังหลบหน้าหนีหายเข้ากลีบเมฆทั้งคู่ เพื่อนบ้านให้เบาะแสเบื้องต้นพบมีการเคลื่อนย้ายรถหรูหลายคันตอนกลางดึกออกจากบ้านพักย่านรามอินทรา กทม.

กรณีมีผู้ที่ซื้อทองรูปพรรณทางออนไลน์ของ “แม่ตั๊ก-กรกนก สุวรรณบุตร” เจ้าของธุรกิจอาหารเสริมและห้างเพชรทองเคทูเอ็น ย่านถนนหทัยราษฎร์ กทม. โพสต์ลงในโลกโซเชียลว่า หลังจากนำสร้อยพร้อมทองของแถมในรูปแบบต่างๆไปขายที่ร้านทองเจ้าอื่น ปรากฏว่าร้านไม่รับซื้อเนื่องจากไม่มีเปอร์เซ็นต์ทอง และไม่มียี่ห้อ ถ้านำไปหลอมจะไม่เหลืออะไร พอคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ลูกค้าที่เคยซื้อทองจากแม่ตั๊กเก็บออมไว้เพื่อเก็งกำไรต่างแห่เอามาขายคืนที่ร้านเชื่อว่าเป็นทองเปอร์เซ็นต์ต่ำ

อีกทั้งมีผู้เสียหายบางส่วนรวมตัวแจ้งความเอาผิดเจ้าของร้านทองชื่อดังฐานฉ้อโกงประชาชน ขณะที่ตำรวจ บก.ปคบ.เตรียมออกหมายเรียกตัวมาแจ้งข้อหา และตำรวจ บก.สอท.จ่อดำเนินคดีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ รวมถึง ปปง.เตรียมเข้ามาตรวจสอบทรัพย์สิน ส่วนแม่ตั๊ก-กรกนก และป๋าเบียร์-กานต์พล เรืองอร่าม สองสามีภรรยา ทั้งคู่ยังหลบหน้าพร้อมทั้งขอเลื่อนให้ถ้อยคำที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เมื่อวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา อ้างว่าขอจัดการซื้อสินค้าคืนจากผู้เสียหายให้เรียบร้อยก่อน

ความคืบหน้าเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 28 ก.ย. ที่ร้านเพชรทองเคทูเอ็น หรือร้านทองแม่ตั๊ก เลขที่ 717/111-112 ถนนหทัยราษฎร์ แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กทม. มีประชาชนทั่วสารทิศทยอยเดินทางนำทองคำมาขายคืนที่ร้านประมาณ 200 คน ต่างนั่งรอคิวอยู่ในเต็นท์ผ้าใบบริเวณหน้าร้าน วันนี้เป็นวันเสาร์ปกติร้านจะหยุดแต่ร้านเปิดเป็นกรณีพิเศษ 1 วัน เพื่อให้ลูกค้านำทองที่ซื้อไปมาขายคืน และหยุดวันอาทิตย์ ทางร้านนำป้ายประกาศมาติดด้านหน้าร้านแจ้งว่า “เปิดรับคิวจำนวน 100 คิว ตั้งแต่เวลา 10.00 น.เป็นต้นไป กราบขออภัยในความไม่สะดวก” แต่เนื่องจากมีประชาชนมารอเกินกว่าจำนวนที่ทางร้านกำหนด จึงอนุโลมให้ลงชื่อในสมุดคิวเพิ่ม ทำให้มีผู้ประสงค์นำทองมาจำหน่ายคืนรวม 150 ราย

ด้าน น.ส.สุจิตรา โสดประวัติ อายุ 42 ปี หนึ่งในผู้ที่นำทองคำมาขายคืนที่ร้าน กล่าวว่า เดินทางมาจาก อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ติดตามการไลฟ์สดขายทองของแม่ตั๊กมาตั้งแต่ปี 60 รู้สึกศรัทธาในความสามารถของแม่ตั๊กในการขายของออนไลน์ ตนติดต่อซื้อสร้อยประคำปี่เซียะ 5 เส้น เส้นละ 993 บาท แม่ตั๊กบอกว่าเป็นทองคำแท้ 99.99 และได้สร้อยข้อมือปี่เซียะ 1 เส้น ราคา 19,992 บาท เมื่อปี 63 หลังจากมีข่าวเรื่องทองคำปลอมทำให้เกิดความไม่สบายใจ ทีแรกคิดว่าจะตัดใจนำไปทำบุญหล่อพระ เห็นว่ามีผู้เสียหายที่มาขายทองคืนร้านได้ตัดสินใจเดินทางนำของที่ซื้อทั้งหมดมาขายคืน การค้าขายออนไลน์สิ่งที่สำคัญคือการสร้างความศรัทธา แต่เมื่อใดที่คนหมดศรัทธาจะทำให้ค้าขายลำบาก

ต่อมาเวลา 12.00 น.วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวเดินทางไปตรวจสอบที่บ้านเลขที่ 72 ซอยรามอินทรา 65 แยก 2-4 แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กทม. หลังมีกระแสข่าวว่าแม่ตั๊กและป๋าเบียร์ย้ายรถสปอร์ตหรูจำนวนหลายคันออกไปจากบ้านพัก บ้านหลังดังกล่าวตั้งอยู่หน้าหมู่บ้านเลิศอุบล รามอินทรา กม.6 เป็นบ้านสไตล์โมเดิร์นสูง 2 ชั้น เนื้อที่ประมาณ 300 ตารางวา ที่ลานจอดรถในบ้านมีรถจอดอยู่ 3 คัน ได้แก่ รถตู้อัลพาร์ด สีขาว 1 คัน รถปอร์เช่สีส้ม 1 คัน ส่วนอีกคันเป็นรถสปอร์ตไม่ทราบยี่ห้อมีผ้าคลุมกันฝุ่นปิดบังไว้ ส่วนบ้านปิดเงียบมีเสื้อผ้าตากไว้ที่ราวตากผ้า สอบถามชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า ก่อนหน้านี้มีรถยนต์ยุโรป รถสปอร์ตหรู จอดอยู่ในบ้านนับ 10 คัน รวมทั้งเช่าที่ใกล้เคียงกับบ้านเพื่อจอดรถอีกหลายคัน หลังจากตกเป็นข่าวเรื่องค้าขายทองคำมีการทยอยนำรถออกไปตั้งแต่ช่วงกลางดึกคืนวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา ต่อเนื่องเช้ามืดวันที่ 28 ก.ย.

ต่อมาลีน่า จังจรรจา หรือ ลีน่าจัง ได้เดินทางมาที่บ้านเพื่อพิสูจน์ว่า แม่ตั๊กย้ายรถหรือทรัพย์สินออกจากบ้านจริงหรือไม่ ลีน่าจังกล่าวว่า เดินทางมาดูด้วยตาตัวเองเห็นว่ารถยังคงจอดอยู่ที่บ้าน แสดงว่าตั๊กไม่ได้หนีไปไหน แต่กลับมีสื่อสังคมออนไลน์ตีข่าวว่าขนรถไปเกลี้ยงบ้านแล้ว ทั้งที่ความจริงยังมีรถจอดอยู่ ตนไม่ได้มาเข้าข้างตั๊ก เพราะเขาไม่ได้มาให้เงินหรือให้ของอะไรกิน แต่ตนเป็นผู้ที่ถูกประชาชนด่าทอว่าไปร่วมกับตั๊กหลอกลวงให้มาซื้อทอง ทั้งที่ตนไม่ได้เกี่ยวข้อง เห็นกับตาว่าเขายังอยู่มีรถจอดอยู่ ไม่ได้เป็นเหมือนที่สื่อออนไลน์ลงข่าว เมื่อ 2 วันก่อนตนป่วยซึมเศร้า ตั๊กได้โทร.มาหาด้วย

ความสงสาร เพราะเห็นตนไม่มีกิน ไม่มีรายได้บอกว่า จะส่งของมาให้ทาน ตนตอบกลับไปว่า ไม่ต้องเพราะมันดึกแล้ว ขณะที่ตั๊กบอกตนว่า “แม่ไม่ต้องปกป้องหนูนะ เดี๋ยวพวกเขาก็ด่าแม่ หนูเลิกทำธุรกิจแล้ว หนูเลิกทำเพราะป่วยนอนสายระโยงระยาง แม่รู้หรือเปล่าพี่หนุ่ม โหนกระแส ให้เลขาฯที่ชื่อคุณโรส โทร.มาหาหนู 3 วันแล้ว ให้ไปออกรายการ” ตนบอกว่า อย่าไปออก กำลังจะเจ๊งตั้งหลายร้อยล้านจะถูกยึดทรัพย์หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ยังไม่เข็ดอีก ส่วนตั๊กบอกว่า “แต่อย่างน้อยหนูก็ได้พิสูจน์ว่าทองหนูไม่ปลอม”

ลีน่าจังกล่าวด้วยว่า ทราบว่าตั๊กป่วยเป็นโรคเนื้องอกในมดลูก ได้แต่ด่าตั๊กให้ไปชดใช้รับซื้อทองคืนมา พอเวลาขึ้นศาลท่านจะได้เมตตารอลงอาญา เนื่องจากได้ชดใช้เยียวยาให้ผู้เสียหายแล้ว เมื่อถามกรณีมีเพื่อนบ้านให้เบาะแสว่ามีการนำรถประมาณ 10 คัน ทยอยออกไปบ้างแล้ว ลีน่าจังกล่าวว่า ตั๊กเป็นคนขี้อวดอยากมีรถตู้เลกซัสเหมือนอดีตนายกฯ เพราะด้วยความอยากอวดร่ำอวดรวยจึงซวยแบบนี้ แต่ตนเชื่อว่าตั๊กไม่ได้หลบเลี่ยงทรัพย์สินและถ่ายเททรัพย์สิน เพราะยังเพิ่งคุยติดต่อกันได้อยู่

เย็นวันเดียวกันมีรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าวได้โพสต์ภาพของแม่ตั๊ก-กรกนก ขณะนั่งร่วมรับประทานอาหารกับบุคคลที่คาดว่าเป็นนายตำรวจระดับสูง พร้อมกับลงข้อความระบุว่า “อุ้ย…แบ็คดีมีชัยไปกว่าครึ่ง” 3 คน คือนายตำรวจใหญ่ที่รายล้อม “ตั๊ก-กรกนก” คนนึงเด่นเรื่องงานสอบสวนมีฉายาในวงการสื่อ ส่วนอีกคนเป็นบิ๊กใหญ่ใน ปคบ. ทำให้มีผู้เข้ามาคอมเมนต์วิพากษ์วิจารณ์หวั่นจะกระทบกับการทำสำนวนคดี

ล่าสุด พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคบ. กล่าวถึงกรณีมีเพจสื่อมวลชนลงภาพตำรวจนั่งกินข้าวกับ น.ส.กรกนก สุวรรณบุตร หรือแม่ตั๊ก ที่ห้องอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง ระบุว่าเป็นตำรวจระดับสูง บก.ปคบ. และ บช.สอท.ว่า ได้สั่งการให้ตรวจสอบภาพข่าวจากเพจดังกล่าวแล้ว เบื้องต้นได้รับรายงานว่า ตำรวจที่นั่งกินอาหารอยู่กับแม่ตั๊กนั้น ไม่ได้เป็นตำรวจระดับสูงของ บก.ปคบ. เท่าที่ทราบเป็นตำรวจระดับยศ พ.ต.ท.ตำแหน่งรองผู้กำกับการ ไม่ได้สังกัด บก.ปคบ. ส่วนในนั้นมี 1 ราย เป็นตำรวจยศ ร.ต.ต.อยู่ใน บก.ปคบ. แต่ไม่ใช่ กก.1.บก.ปคบ. ส่วนอีกรายเป็นตำรวจจากหน่วยงานอื่น ขณะนี้กำลังให้ตรวจสอบตำรวจที่อยู่ในรูป พร้อมทั้งให้ทำรายงานชี้แจง

มีรายงานข่าวแจ้งว่า รูปภาพดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อเดือน ส.ค.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในรูปเป็นตำรวจยศ พ.ต.ท. ระดับรอง ผกก. สังกัดอยู่ที่ บก.ปอท. และ ร.ต.ต. (นายร้อย 53) ประจำอยู่ที่ กก.4.บก.ปคบ. ส่วนอีกรายเป็นตำรวจสังกัดอยู่ บช.สอท. คาดว่าตำรวจทั้งหมดที่อยู่ในภาพน่าจะรู้จักกับแม่ตั๊กชวนกันไปกินข้าว ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมอยู่ระหว่างรอให้การรายงานชี้แจงอย่างละเอียดต่อไป