ผมเพิ่งกลับจากญี่ปุ่นมาถึงเมืองไทยเราเมื่อหลังเที่ยงคืนวันจันทร์ที่ผ่านมานี่เอง เพราะเครื่องบินดีเลย์ (ช้ากว่ากำหนด) พอตื่นขึ้นมาวันรุ่งขึ้นช่วงบ่ายๆก็ต้องรีบเขียนต้นฉบับส่งโรงพิมพ์ทันที เพราะที่เขียนสต๊อกไว้นั้นหมดเกลี้ยงแล้ว
ซึ่งก็ไม่มีเรื่องยากลำบากอะไร เพราะเพิ่งกลับจากญี่ปุ่นก็เขียน ถึงญี่ปุ่นนี่แหละ มีเรื่องให้เขียนถึงเยอะ รวมทั้งประเด็นที่ผมตั้งเป็นชื่อเรื่องพาดหัวคอลัมน์วันนี้ก็น่าเขียนถึงเช่นเดียวกัน
ก่อนจะเข้าประเด็นผมขออนุญาตรายงานเสียก่อนครับว่า เที่ยวนี้ผมกับลูกหลานไปตระเวนเมือง โอซาก้า มาครับ…เมืองที่มีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 2 รองจากโตเกียว และเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่นตกราวๆ 2.7 ล้านคนในปัจจุบันนี้ (เฉพาะในเขตเมืองนะครับ แต่ถ้ารวมนอกเมืองด้วยจะตกราวๆ 19 ล้านคน)
ในภาพรวมโอซากาได้ชื่อว่าเป็นเมืองอุตสาหกรรมและเมืองธุรกิจ รายได้หลักๆ มาจากภาคอุตสาหกรรม แต่ก็เหมือนกับเมืองดังอื่นๆ ของดินแดนอาทิตย์อุทัยคือ จะมีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นรายได้ระดับต้นๆ อยู่ด้วย
โดยส่วนตัวผมมีโอกาสไปโอซากามาแล้วไม่ตํ่ากว่า 5-6 ครั้ง ตอนหนุ่มๆ เคยเป็นแขกรับเชิญของกระทรวงวัฒนธรรมญี่ปุ่นไปตระเวนญี่ปุ่น 21 วัน และจำได้ว่าไปอยู่โอซากาเสียหลายวัน มีความ คุ้นเคยกับโอซากาอย่างดียิ่ง
การไปเที่ยวของคณะเราครั้งนี้รวมทั้งหมด 7 คน ใช้วิธีเที่ยวแบบสมัยใหม่คือ เที่ยวเอง จองตั๋วเครื่องบินเอง จองบ้านพักเอง และจองทุกอย่างที่จองได้เองโดยไม่พึ่งบริการทัวร์
โปรแกรมทัวร์ลูกๆ เขาจัดเองหมด…ทัวร์ไหนที่ผมกับภรรยาไปได้ก็จะไปด้วย แต่ถ้าไปไม่ได้เพราะต้องเดินมาก หรือเกินวัยของพวกเราแล้ว เรา 2 ส.ว.ก็จะแยกไปนั่งรถใต้ดินในเมืองโผล่ตามสถานีดังๆ 2-3 สถานีแทน
เดินบ้างนั่งบ้างตามสุมทุมพุ่มไม้หน้าห้างต่างๆ ทำตัวเป็นคนแก่เกษียณแล้วแบบคนแก่ญี่ปุ่นซึ่งมีอยู่มากในปัจจุบันนี้
ได้ข้อมูลเรื่องท่องเที่ยวมาเยอะพอสมควร ซึ่งคงจะเก็บไว้เขียนเล่าสู่กันอ่านใน “ซอกแซก” ฉบับวันอาทิตย์ ดังเช่นทุกครั้งที่ปฏิบัติมา
เอาล่ะ…กลับมาที่ประเด็นที่ผมตั้งเป็นชื่อเรื่องวันนี้ได้ละ…ว่าประเทศเราซึ่งหากินกับการท่องเที่ยวมานาน และมุ่งมั่นจะใช้ธุรกิจท่องเที่ยวเป็นรายได้หลักต่อไป ทำไมจึงต้องไปเรียนรู้จากญี่ปุ่น?
เหตุผลเท่าที่ผมนึกออกก็มาจากคนที่ผมรู้จักหลายๆ คน…ซึ่งชอบท่องเที่ยว และไม่เบื่อเลยที่จะกลับไปเที่ยวญี่ปุ่น
เพื่อนผมคนหนึ่งรู้จักประเทศญี่ปุ่นเพราะไปทำข่าวกีฬาโอลิมปิก ที่กรุงโตเกียวเป็นเจ้าภาพปี 1964 (2507) พอกลับมาก็หลงใหลประเทศนี้ทันทีไปแล้วไปอีกไม่ตํ่ากว่า 20-30 ครั้งในชีวิต
เพื่อนอีกคนเป็นนักธุรกิจ และชอบท่องเที่ยว…เขาไม่ได้บอกผมว่าเคยไปมากี่ครั้ง แต่ผมแอบจดจำไว้ด้วยตนเองในห้วงเวลาที่เรารู้จักกันไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง…ก่อนหน้านี้ที่เราไม่รู้จักกันก็น่าจะ 10 ครั้งเป็นอย่างน้อย
ประเทศที่สามารถทำให้คนอยากไปเที่ยวซ้ำได้ เที่ยวแล้วเที่ยวอีกโดยไม่รู้เบื่อ น่าจะต้องมีอะไรดีสักอย่างอย่างแน่นอน?
ผมไม่ปฏิเสธว่าเราเองก็คงจะมีเสน่ห์ซ่อนอยู่หลายอย่างที่ทำให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกคิดถึงเรา และธุรกิจท่องเที่ยวก็ยังเป็นธุรกิจระดับต้นๆที่ช่วยชุบชีวิตประเทศไทย
แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะมีลูกค้าที่คิดถึงเราและอยากมาเที่ยวเราแบบซ้ำๆซากๆมากน้อยแค่ไหน? ถ้ามีอยู่มากแล้วก็โอเคเลย เดินหน้าไปอย่างที่เราถนัดนี่แหละ
หาก…ไม่ค่อยมากและเริ่มมีแล้วที่จะเบื่อเรา ก็อย่าชักช้า… ลองวิจัย ลองศึกษาอย่างลึกซึ้งอีกครั้งว่า ญี่ปุ่นมีอะไรดี?
เพื่อที่เราจะนำมาปรับใช้ให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่คนอยากมาบ่อยๆ มาซํ้าๆ จะได้หากินไปอีกนาน ว่างั้นเถอะครับ.
“ซูม”
คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม
แหล่งข่าว: ไทยรัฐ