ศาลออกหมายจับ “เอก สายไหม” ตาม พ.ร.บ.คอมพ์ฯ ข้อหาปั้นพยานเท็จเจ้าตัวโร่พบตำรวจ ยันทำไปด้วยความหวังดี พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ขณะที่ตำรวจ ปปป.เตรียมบุกเรือนจำสอบปากคำบอสดิ ไอคอน คลี่ปมคลิปเสียงรีดทรัพย์ ฟิล์ม รัฐภูมิ-เจ๊พัช แอบอ้างหนุ่มกรรชัยและรัฐมนตรีน้ำ พยายามกรรโชกทรัพย์ 20 ล้านบาท จ่อออกหมายเรียก ฟิล์ม-รัฐภูมิ แจ้งข้อกล่าวหา ตะลึงตรวจสอบบัญชีธนาคารแม่ “นาย ส.” เงินหมุนเวียนหลัก 100 ล้านบาท “ทนายบอสพอล” โวเตรียมพาเหยื่อที่กลับคำให้การเข้าพบดีเอสไอ รับคลิปหลุดลักษณะข่มขู่แจ้งความกลับเหยื่อให้ถอน แจ้งความเป็นของจริง แต่ไม่ผิดกฎหมาย เตรียมฟ้อง “เอก สายไหม” หมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหายหลัก 100 ล้านบาท ดีเอสไอฝากขัง “18 บอสดิ ไอคอน” เป็นครั้งที่ 4 พร้อมคัดค้านประกันตัว อ้างต้องสอบ พยาน 4,500 คน
การสืบสวนคลี่คลายบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด ดำเนินธุรกิจขายตรงเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ กล่าวหาหลอกให้ลงทุนและหาลูกข่ายมาเป็นสมาชิก สร้างความน่าเชื่อถือด้วยการนำดารานักแสดงชื่อดังมาร่วม หลังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เดินเครื่องสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ขออำนาจศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหา 18 คนตั้งแต่นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล นายยุรนันท์ หรือบอสแซม ภมรมนตรี น.ส.พีชญา หรือบอสมิน วัฒนามนตรี และนายกันต์ หรือบอสกันต์ กันตถาวร รวมถึงแม่ข่ายและผู้เกี่ยวข้อง คุมตัวฝากขังเข้าเรือนจำไปแล้ว ต่อมาโอนสำนวนให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พิจารณาแจ้งข้อหากู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่ และ พ.ร.บ.ขายตรงฯ เพิ่มเติมกับ 18 บอสในเรือนจำ จากนั้นเรื่องราวบานปลายกลุ่มบอสดิ ไอคอน กรุ๊ป นำคลิปเสียงออกมาแฉนักร้องเรียนและบุคคลหลายกลุ่มเข้ามารีดทรัพย์ตามที่เสนอข่าวไปแล้ว
“เจ๊พัช” อ่วมโดน 3 คดี
ความคืบหน้าจากกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เวลา 10.00 น. วันที่ 22 พ.ย. พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. กล่าวถึงความคืบหน้าคดี น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ หรือเจ๊พัช ผู้ต้องหาเครือข่ายดิ ไอคอนว่า เมื่อวันที่ 21 พ.ย. ชุดคลี่คลายคดีกองปราบปรามประชุมหารือกำหนดแนวทางการสืบสวนสอบสวนคดีต่างๆของ น.ส.กฤษอนงค์ ที่ถูกแจ้งดำเนินคดีไว้หลายคดี หลักๆมีด้วยกัน 3 คดี คดีแรกจับกุมตัวดำเนินคดีไปแล้วคือ คดีกรรโชกทรัพย์ และตัวกลางเรียกรับสินบนจากผู้ต้องหาเครือข่ายดิ ไอคอน จำนวน 7.5 แสนบาท คดีที่สองเป็นคดีที่ น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายก รัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีน้ำ ส่งทนายความเข้าแจ้งความเอาผิดฐานหมิ่นประมาท จากกรณีปรากฏคลิปเสียง น.ส.กฤษอนงค์แอบอ้างชื่อไปเรียกรับเงินจากกลุ่มผู้บริหารบริษัทดิ ไอคอน
คดีแอบอ้างหนุ่ม–กรรชัยด้วย
“คดีที่ 3 เป็นกรณีคลิปเสียง น.ส.กฤษอนงค์ กับนายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือฟิล์ม-รัฐภูมิ นักร้อง นักแสดงดัง แอบอ้างชื่อนายภูดิท กําเนิดพลอย หรือหนุ่ม-กรรชัย พิธีกรชื่อดัง ข่มขู่เรียกเงินจำนวน 20 ล้านบาท จาก น.ส.ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร หรือบอสปัน และบริษัทดิ ไอคอน กรุ๊ป ในส่วนนี้ผู้เสียหายจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ บอสปันดิ ไอคอน หรือบริษัทดิ ไอคอน ที่ถูกทั้งสองพยายามกรรโชกทรัพย์ ส่วนผู้เสียหายที่สองจะเป็น หนุ่ม-กรรชัย พิธีกรดัง ถูกแอบอ้าง มีการแจ้งความหมิ่นประมาทกับทั้งสองไปก่อนหน้านี้แล้วเช่นกัน” รอง ผบก.ป.กล่าว
เตรียมหมายเรียกฟิล์ม–รัฐภูมิ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการประชุมแนวทางคดีเบื้องต้น วางกรอบแนวทางสอบปากคำพยานบุคคลเกี่ยวกับประเด็นต่างๆเพิ่มเติม โดยเฉพาะกลุ่มพยานบอสดิ ไอคอน ที่พนักงานสอบสวนกองปราบฯเตรียมเข้าไปสอบปากคำภายในเรือนจำอีกครั้งเร็วๆนี้ การเข้าสอบปากคำบอสดิ ไอคอน ครั้งนี้มีนัยสำคัญที่จะส่งผลต่อการกำหนดวันออกหมายเรียก ฟิล์ม-รัฐภูมิ อย่างเป็นทางการ ให้มาเข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันใด
“รองเต่า” ประชุมคดีคลิปเสียง
ต่อมาเวลา 10.45 น. กองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. ร่วมประชุมติดตามความคืบหน้าคดีตรวจสอบคลิปเสียงกรรโชกทรัพย์ผู้ต้องหาเครือข่ายดิ ไอคอน ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. พล.ต.ต.จรูญเกียรติเปิดเผยว่า ผลการประชุมติดตามคดีต่างๆ เบื้องต้นคืบหน้าไปมาก คาดว่าภายในสัปดาห์หน้าน่าจะชัดเจนหลายเรื่อง
ชุดสืบเรียก “เอกภพ” มาสอบ
“ส่วนคดีนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของพนักงานสอบสวน แต่วันนี้ (22 พ.ย.) ช่วงเวลา 15.00 น.ชุดสืบสวนนัดนายเอกภพมาให้ถ้อยคำ แต่ไม่ใช่พนักงานสอบสวน เป็นชุดสืบสวนเป็นคนสอบ เนื่องจากชุดสืบสวนยังต้องแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่พยายามจะเรียกนายเอกภพมาตั้งแต่วันจันทร์อังคารที่ผ่านมา แต่ด้านนายเอกภพอ้างว่า ติดธุระเดี๋ยวจะมาพร้อมทนาย กรณีนายเอกภพจะเข้าข่ายความผิดเรื่อง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ส่วนพยานเท็จบริษัท ดิ ไอคอน ไม่ติดใจดำเนินคดี เหลือเพียงนายเอกภพคนเดียว
รวมคดีหนุ่ม–กรรชัยกับดิ ไอคอน
“ส่วนกรณีของนายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือฟิล์ม และ น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ หรือเจ๊พัช ที่เรียกรับเงินจากบอสดิ ไอคอน 20 ล้านบาท แอบอ้างชื่อนายภูดิท กำเนิดพลอย หรือหนุ่ม-กรรชัย เมื่อวานนี้ บก.ป.ประชุมเรื่องนี้ มีความเห็นว่าจะรวมเป็นคดีเดียวทั้งหมด ทั้งคดีที่หนุ่ม-กรรชัยมาร้องทุกข์ข้อหาหมิ่นประมาท และบอสดิ ไอคอนมาร้องทุกข์ข้อหาพยายามฉ้อโกง และพยายามกรรโชกทรัพย์ แต่จะเข้าข้อหาใดบ้าง ขอให้พนักงานสอบสวนเข้าไปสอบปากคำ น.ส.ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร หรือบอสปันก่อน ค่อยพิจารณากันอีกครั้งว่า จะเข้าข้อหาใดขณะนี้ยังไม่ได้มีการเรียกผู้ใดมาให้ปากคำ ขอรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดก่อน เบื้องต้นคดีดังกล่าวอยู่ในการพิจารณาของศาลแขวง ความผิดจะได้รับโทษ 2 ใน 3 ออกหมายเรียกได้เท่านั้น” พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าว
บัญชีแม่นาย ส.หมุนเวียนร้อยล้าน
พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าวด้วยว่า กรณีนาย ส.เสือ จากการตรวจสอบเส้นเงินบัญชีแม่ของนาย ส.เสือ ครั้งแรกเจอ 600,000 บาท ตรวจสอบครั้งต่อมาเจอ 2 ล้านบาท แต่ล่าสุดพบว่ามีเงินเข้าออกในบัญชีกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่เกี่ยวข้องกับคดีดิ ไอคอนจำนวน 3 ล้านบาท แต่ 100 กว่าล้านบาทต้องมาขยายผลว่ามาจากที่ใดและใครบ้าง เชื่อว่าบัญชีนี้ นาย ส.เสือ จะถือไว้ใช้เอง ทั้งนี้จะเรียกแม่นาย ส.เสือ มาให้ปากคำ แต่ตัวนาย ส.เสือ ยังไม่เรียก อย่างไรก็ตามต้องรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานให้แล้วเสร็จก่อน
ศาลอนุมัติหมายจับ “เอกภพ”
ต่อมาเวลา 14.00 น. พ.ต.อ.ชิษณุพงศ์ ไหวดี ผกก.3 บก.ปอท. มอบหมายให้พนักงานสอบสวน บก.ปอท.ไปขออำนาจศาลอาญารัชดาออกหมายจับนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เลขที่ 5661/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.2567 ข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีโพสต์ข้อมูลเท็จในระบบเกี่ยวกับเงินดิจิทัลของบริษัทดิ ไอคอน ทันทีที่หมายจับออก ผู้สื่อข่าวติดต่อไปหานายเอกภพเผยว่ายังไม่ทราบเรื่องหมายจับ ขณะนี้กำลังเดินทางไปให้ถ้อยคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตามคำเชิญเวลา 15.00น.
ยันทำโดยบริสุทธิ์ใจ
เวลา 15.05 น. นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ เดินทางมาถึงกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เผยกับสื่อมวลชนว่า เพิ่งทราบข่าวถูกออกหมายจับจากสื่อมวลชน เพราะช่วง 15.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญตนมาให้ถ้อยคำจึงมาตามคำเชิญ แต่ยังไม่ทราบว่ามีหมายจับจริงหรือไม่อย่างไร ยืนยันว่าสิ่งที่ทำเป็นการทำเพื่อพี่น้องประชาชน รวมถึงบอสดิไอคอนก็ไม่ได้รู้จักส่วนตัว การนำตัวพยานมาเป็นเพราะตัวพยานมาแจ้งตน จึงนำตัวมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบ วันนี้นำเอกสารหลักฐานทั้งหมดมาด้วย พร้อมทั้งจัดเตรียมทนายแล้ว ในส่วนของคดีพยานเท็จ
เตรียมทนายสู้คดีแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความกังวลใจหรือไม่ นายเอกภพกล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่กังวลใจ มองว่าเป็นขั้นตอนกฎหมาย เชื่อว่าตำรวจ บช.ก.จะให้ความเป็นธรรม ตนเตรียมหลักทรัพย์ประกันตัวไว้แล้ว โดยจะให้ทนายความส่วนตัวเป็นคนจัดการ ผู้สื่อข่าวถามว่าจะเข้ามอบตัวเลยหรือไม่ นายเอกภพระบุว่า หากเห็นหมายจับ ยินดีมอบตัวกับพนักงานสอบสวน ถามต่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจนัดมาแล้วหลายครั้ง เหตุใดถึงปฏิเสธ นายเอกภพยืนยันว่า ไม่ได้ปฏิเสธแต่ยอมรับว่าพนักงานสอบสวนติดต่อมา และแจ้งว่ายินดีจะเข้ามาพบวันนี้ตามคำนัดหมาย ทั้งนี้ยังมีกำลังใจในการช่วยเหลือประชาชนต่อไป
เหตุอ้างพยานคนสนิทบอสพอล
สำหรับการออกหมายจับนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ มาจากเมื่อวันที่ 21 ต.ค. นายเอกภพพาพยานมาให้การตำรวจ บก.ปปป. อ้างว่าเป็นพยานปากสำคัญ เป็นคนใกล้ชิดนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล ปมเส้นเงินดิ ไอคอน พร้อมอ้างว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องการเรียกรับผลประโยชน์ดิ ไอคอน พร้อมทั้งอ้างว่า พยานรายนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินใกล้ชิดบอสพอลด้วย จากนั้นนำกรณีดังกล่าวไปโพสต์ลงในสื่อโซเชียลอีก
ข้อหานำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ
สำหรับข้อหาของนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ หรือ เอก สายไหม ตามหมายจับศาลอาญาที่ 5661/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ความผิดฐาน “โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา”
ได้ประกันตัว 5 หมื่นบาท
ต่อมาเวลา 19.00 น. หลังเสร็จสิ้นการสอบปากคำรับทราบข้อกล่าวหานานกว่า 4 ชม. นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ยื่นขอประกันตัววางเงินสดจำนวน 5 หมื่นบาท เป็นหลักประกัน ก่อนพนักงานสอบสวนพิจารณาเห็นว่าไม่มีพฤติกรรมหลบหนี รวมถึงมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เห็นควรให้ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว นายเอกภพเผยว่า คดีนี้เป็นคดีที่กลุ่มบอสดิ ไอคอน กรุ๊ป มอบหมายทนายความให้มาแจ้งความตนข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ตนให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และนำข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปทั้งหมดแล้ว ทั้งบันทึกการสนทนานานกว่า 1 ชม. แชตข้อความต่างๆ ให้การตามข้อเท็จจริงทั้งหมด ตำรวจบอกว่าเป็นประโยชน์ เป็นข้อมูลอีกด้านเช่นกัน
แจ้งดำเนินคดีพยานเท็จแล้ว
นายเอกภพกล่าวต่อว่า มองว่าหมายจับที่ออกเป็นเพียงกระบวนการของตำรวจ พร้อมขอบคุณตำรวจที่ให้ประกันตัวโดยใช้หลักฐานเป็นเงินสด 50,000 บาท ส่วนพยานที่เคยพามาแจ้งความดำเนินคดีไปแล้ว เพื่อเป็นตัวอย่างให้ใครก็ตามที่จะส่งข้อมูลมาให้ตน แต่ให้ข้อมูลเท็จ หรือไปให้ข้อมูลกับผู้อื่นอีกแบบหนึ่ง คนแบบนี้ต้องถูกดำเนินคดีทั้งหมด อีกทั้งยังมีอีกหลายคนที่เตรียมดำเนินคดี โดยเฉพาะใครก็ตามที่พูดหรือทำให้ตนเสียหาย รวมถึงทนายบอสพอล จะส่งของขวัญไปให้ก่อนปีใหม่แน่นอน ตนและทีมงานเพจสายไหมต้องรอดพยายามคัดกรองตรวจสอบข้อมูลทุกอย่างเท่าที่ทำได้แล้ว เมื่อเห็นว่าอาจเป็นประโยชน์กับตำรวจจึงนำมาให้การ ยืนยันว่าไม่เคยรับเงินไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น ส่วนที่ทนายตั้มอ้างคำพูดของตนไปร้องต่อหน่วยงานต่างๆ ตนไม่รู้เรื่องและไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ดีเอสไอฝากขังผัด 4
ที่ศาลอาญาวันเดียวกัน พนักงานสอบสวนคดีพิเศษเดินทางมายื่นคำร้องขอฝากขังนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล อายุ 41 ปี กับพวกรวม 18 ราย กลุ่มผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงประชาชนบริษัทดิ ไอคอน กรุ๊ป ครั้งที่ 4 คำร้องฝากขังครั้งนี้เเนบคำร้องเเจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาเพิ่มเติมมาด้วย สรุปพฤติการณ์ว่าตามคำร้องฝากขังครั้งที่ 3 ลงวันที่ 8 พ.ย.2567 ของพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ที่ศาลอาญาอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหานี้ไว้ระหว่างการสอบสวนมีกำหนด 12 วัน นับตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย.-22 พ.ย.67 นั้น
ต้องสอบพยานรวม 4,500 คน
บัดนี้จะครบกำหนดเวลาฝากขังครั้งที่ 3 วันที่ 22 พ.ย. แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นต้องสอบปากคำพยาน จำนวน 4,500 ปาก พยานฝ่ายผู้ต้องหาจำนวน 400 ปาก ต้องรอผลการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินจากธนาคารต่างๆ รอผลการตรวจสอบจากศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและการวิเคราะห์ รอการตรวจสอบเอกสารที่ยึดไว้ ตรวจสอบเอกสารและวัตถุของกลางของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และรอผลการตรวจวัตถุพยานทางอิเล็กทรอนิกส์ของกลาง ด้วยเหตุผลและความจำเป็นดังกล่าวขออนุญาตศาลให้ฝากขังผู้ต้องหานี้ไว้ระหว่างการสอบสวนต่ออีก 12 วัน นับแต่วันที่ 23 พ.ย.-4 ธ.ค.67
ขอค้านประกัน 18 บอส
ท้ายคำร้องระบุว่า หากผู้ต้องหาขอปล่อยตัวชั่วคราว พนักงานสอบสวนคดีพิเศษขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง ประกอบกับมีผู้เสียหายจำนวนเบื้องต้นประมาณ 9,000 ราย มูลค่าความเสียหายถึง 2,956,274,931 บาท ผู้ต้องหาอาจหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ศาลอาญาพิจารณาเแล้วอนุญาตฝากขัง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาเพิ่มเติมมีอัตราโทษถึง 10 ปี เเละศาลอนุญาตฝากขังข้อหาดังกล่าวเเล้ว ทำให้สามารถยื่นฝากขังผู้ต้องหาได้ 7 ครั้ง 84 วัน
ทนายโวเหยื่อถอนแจ้งความ
ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เวลา 16.00 น. นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล เดินทางมาเข้าเยี่ยมบอสพอลและพวก เพื่อพูดคุยแนวทางสู้คดี ออกมาเปิดเผยว่า วันนี้คุยกันไม่นานมาก เนื่องจากว่ามีคนเข้าเยี่ยมหลายคน ได้พูดคุยเพียงแค่ 3-4 คนเท่านั้น สำหรับแนวทางตอนนี้ตั้งใจจะพาพยานที่เคยแจ้งความดิ ไอคอนฯที่ บช.ก.ไปพบดีเอสไอฐานะพยาน เพื่อยื่นคำร้องให้การใหม่อีกครั้ง ตั้งใจจะเริ่มวันที่ 25 พ.ย. เท่าที่คาดการณ์เอาไว้วันละ 200 คน
เอาผิดเหยื่อปลอมสายเจ๊พัช
ส่วนประเด็น น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ พาผู้เสียหาย 89 คนทำทีเป็นผู้เสียหายไปขอเงินค่าเยียวยาที่บริษัทดิ ไอคอนฯ ตามหลักฐานมีการโอนเงินจ่ายตอนนี้คือ 75 คน แต่ละคนจ่ายเงินตั้งแต่ 50,000 ถึง 150,000 บาท ใน 75 คนตอนนี้ทีมทนายความกันเอาไว้ 6 คนไว้เป็นพยาน ฐานะบุคคลเบิกของออกจากบริษัท แต่ยังมีสินค้าบางอย่างที่หลงเหลืออยู่ ในจำนวน 69 คนที่เหลือเบิกสินค้าจากบริษัทไปหมดแล้ว อีกทั้งได้นำสินค้าไปจำหน่ายรวมถึงบริโภคเอง แต่กลับมามั่วนิ่มลักษณะเข้ามาขอเงิน ทำตัวเป็นผู้เสียหาย คนกลุ่มนี้ทีมทนายความเตรียมแจ้งข้อหาร่วมกันกรรโชกทรัพย์ หรือร่วมกันฉ้อโกง พร้อมกับ น.ส.กฤษอนงค์
อ้าง รมต.เลยยอมจ่ายเงิน
นายวิฑูรย์กล่าวอีกว่า หากย้อนกลับไปได้ตอนถูก น.ส.กฤษอนงค์ พากลุ่มที่อ้างตัวว่าเป็นผู้เสียหายมาร้องเรียน ตนจะขอสู้ ไม่จ่ายเงิน ที่ยอมจ่ายเงินเนื่องจากสมาชิกบริษัทดิ ไอคอนฯ มีหลายหมื่นคน กลัวว่าถ้าเป็นข่าวเสียๆหายๆแล้ว บริษัทจะหมดความน่าเชื่อถือและได้รับผลกระทบวงกว้าง อีกทั้งฝั่งที่มาร้องเรียนอ้างถึง น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าได้รับมอบหมายให้มาจัดการเรื่องนี้ นอกจากนี้ยังข่มขู่อีกว่า จะพาผู้เสียหายไปร้องกับ สคบ.แล้วพานักข่าวมาทำข่าว น.ส.กฤษอนงค์ ยังอ้างอีกว่าเคยนำเงินไปให้ดีเอสไอ 10 ล้านบาท ทำให้บอสพอลหวาดกลัวจึงยอมจ่าย เพื่อให้จบกันไป
หนอนเอาคลิปขู่ฟ้องเหยื่อมาแฉ
ทนายวิฑูรย์กล่าวว่า ส่วนประเด็นคลิปเสียงที่ถูกนำมาเปิดเผยล่าสุด เป็นคลิปที่เกิดขึ้นเมื่อคืน พูดคุยกับผู้จำหน่ายสินค้าของดิ ไอคอนฯ ในกลุ่ม “ครอบครัวดิ ไอคอน” บันทึกส่งให้ดีเอสไอ ส่วนตัวทราบว่าในกลุ่มมีหนอนบ่อนไส้อยู่ จะได้รู้ว่าในกลุ่ม 10,000 คน มีผู้เสียหายจริงเท่าไหร่ สำหรับการพูดคุยที่มีคนตั้งข้อสังเกตว่า เป็นลักษณะข่มขู่ ประเด็นนี้ขอชี้แจงว่า ในคลิปเสียงตนขู่ดำเนินคดีถือว่าไม่ผิดกฎหมาย ไม่มีความผิดทางกฎหมาย เพราะไม่ได้ขู่ที่จะทำร้ายใคร ส่วนจะอ้างว่าหวาดกลัวนั้น ถ้าหากว่าไม่ผิดจริงจะกลัวการดำเนินคดีทำไม ยืนยันเป็นการใช้สิทธิ์ทางกฎหมาย ส่วนที่ยกตัวอย่างไปหาบุคคลที่สามที่ถูกดำเนินคดี และกำลังจะถูกดำเนินคดี ทำให้เกิดความหวาดผวากับสมาชิก จนทำให้บางคนต้องกลับใจไปถอนแจ้งความ ถือว่าเป็นการวางแผนทีมทนายในการต่อสู้คดีหรือไม่
ฟ้อง 100 ล้าน “เอก–สายไหม”
นายวิฑูรย์กล่าวว่า ส่วนประเด็ก เอก สายไหม ถูกออกหมายจับวันนี้ ตนเพิ่งทราบจากสื่อมวลชน ไม่ได้รู้สึกตกใจเพราะเป็นไปตามพยากรณ์เอาไว้ ที่แม่นถือว่าเป็นไปตามประสบการณ์ เนื่องจากว่า เอก-สายไหม มีพฤติกรรมทำให้คดีธรรมดาๆ เป็นคดีที่โยงว่า จ่ายเงินให้หน่วยงานราชการ โยงไปถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จนตอนนั้นบริษัทดิ ไอคอนฯ กลายเป็นองค์กรอาชญากรรมที่จ่ายเงินให้หน่วยงานต่างๆ อีกทั้งยังเชื่อมโยงไปถึงจีนเทา หลังจากนี้ตนปรึกษากับบอสดิ ไอคอนฯ แล้วว่า หลังจากนี้จะแจ้งความดำเนินคดีฐานความผิดหมิ่นประมาทกับ เอก-สายไหม รวมถึงเรียกร้องค่าเสียหายหลัก 100 ล้านบาท ส่วนจะได้รับการประกันตัวในชั้นสอบสวนหรือไม่ มองว่าเป็นสิทธิ์ทางกฎหมาย ตนยินดีด้วย แต่ลูกความตนไม่เคยได้รับโอกาสนี้เลย
แหล่งข่าว: ไทยรัฐ