เทศกาลกินเจ ประจำปี 2567 จะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันนี้ พฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม รวมเวลา 9 วันเต็มๆ ไปจนถึงวันศุกร์ที่ 11 ตุลาคมเป็นวันสุดท้าย
ไปไหนมาไหนจะพบเห็นธงสีเหลืองที่มีคำว่า “เจ” ทั้งภาษาไทยและภาษาจีนประดับประดาตามร้านอาหารและตามตลาดสด ตลอดจนซุปเปอร์มาร์เกตอร่ามเรืองไปทั่ว
เป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นถือศีลกินผักเพื่อชำระจิตใจให้ผ่องใสของพี่น้องชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีน รวมทั้งชาวไทยแท้ๆ ทั่วไปจำนวนมาก
ทุกๆตำราระบุตรงกันว่า ประเพณีกินเจเริ่มขึ้นที่ประเทศจีนเมื่อ 400 ปีก่อนโน้น…ต่อมาเมื่อเดินทางอพยพไปทำมาหากิน ณ ประเทศต่างๆ ชาวจีนก็จะนำประเพณีถือศีลกินเจติดตัวไปด้วย รวมทั้งเมื่อมาประเทศไทยเรา
แม้ประเพณีกินเจของชุมชนชาวจีนในประเทศไทยจะเกิดขึ้นมายาวนานมากๆ ดังที่กล่าวไว้แล้ว แต่ที่เกิด “ฮิต” ขึ้นมาและกลายเป็นกระแสฮิตในประเทศไทย น่าจะประมาณ 20 ปีที่ผ่านมานี้เอง
นอกจากกระแสด้านศีลธรรม และบาปบุญคุณโทษที่เกิดขึ้นแก่คนหนุ่มคนสาวยุคใหม่อย่างไม่คาดฝันแล้ว ส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากการ “โปรโมต” ของห้างสรรพสินค้า ซึ่งมี ซุปเปอร์มาร์เกต จำหน่ายอาหาร และบรรดาซุปเปอร์สโตร์ใหญ่ๆทั่วไป เพื่อผลทางการจำหน่ายสินค้า “เจ” นั่นเอง
ห้างสรรพสินค้าและซุปเปอร์มาร์เกตที่มักจะหา “เหตุผล” ในการจัดงานหรือกิจการต่างๆตามเทศกาลอยู่แล้ว…เช่น ปีใหม่ ตรุษจีน วาเลนไทน์ สงกรานต์ ไหว้พระจันทร์ เข้าพรรษา ออกพรรษา ฯลฯ ก็หันมา “โปรโมต” อาหาร “เจ” ในเทศกาลกินเจอีกแรงหนึ่ง และเชื่อกันว่าเป็นแรงส่งสำคัญที่ทำให้คนไทยเราหันมากินเจมากขึ้น
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ต้นตำรับการสำรวจค่าใช้จ่ายของคนไทยในเทศกาลต่างๆก็ได้ริเริ่มการสำรวจเศรษฐกิจในเทศกาลกินเจมาแล้วหลายปีเช่นกัน ดังเช่นปีนี้ได้แถลงตัวเลขภาพรวมออกไปว่าจะมีเงินสะพัดถึง 45,003 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าปีที่แล้วเล็กน้อยประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์
เหตุที่เพิ่มขึ้นไม่มากเป็นเพราะผู้คนยังระมัดระวังการใช้จ่ายเพราะกังวลในเรื่องเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดีนัก แต่จากการที่กระแสนิยมยังพุ่งแรงอยู่ จึงเชื่อว่าจำนวนผู้ออกมาใช้จ่ายและเงินหมุนในการจ่ายปีนี้จะยังคงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายต่อหัวต่อคนน่าจะสูงขึ้นถึง 4,696 บาท มากกว่าปีที่แล้วที่ค่าเฉลี่ยประมาณ 4,587 บาท
เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่มีการคำนวณไว้ สำหรับปีนี้ผมขอทำหน้าที่เชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทยให้หันมารับประทานอาหารเจ และเข้าร่วมในเทศกาลกินเจปีนี้เท่าที่จะสามารถเข้าร่วมได้
ไม่จำเป็นต้องกินทุกมื้อ ขอเพียงกินบางมื้อ และระหว่างกินก็นึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ให้มุ่งกระทำแต่ความดีไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ถือเป็นการชำระจิตใจที่หมกมุ่นในอบายมุขในความชั่วร้ายในความโหดเหี้ยมทารุณคิดแต่จะรังแกคนอื่น เอาเปรียบคนอื่น
ให้หันมาเป็นจิตใจที่อ่อนโยน ยึดมั่นในศีลในธรรม โดยเริ่มทดลองก่อนในระยะ 7 วัน 10 วันของเทศกาลกินเจ จากนั้นก็พยายามลดลงไปเรื่อยๆจนลดได้ในที่สุด
ผมเพิ่งไปงาน “SX 2024” หรืองานเอ็กซ์โปว่าด้วยการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน ครั้งที่ 5 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วยังแวะไปรับประทานอาหาร “ยั่งยืน” กับเขาด้วย
ทำให้ทราบว่าการรับประทานผักเยอะๆ หรือการลดรับประทานเนื้อสัตว์ลงบ้าง ถือเป็นส่วนหนึ่งของการรับประทานเพื่อช่วยเยียวยารักษาสภาพแวดล้อมของโลกได้ในระดับหนึ่ง
เพราะพืชทำให้การผลิตก๊าซที่มีผลเสียต่อโลกลดลง ต่างกับการเลี้ยงสัตว์ที่จะมีผลกระทบมากกว่า
ก็เลยเห็นคล้อยตามว่า การรับประทานผักเยอะๆน่าจะมีส่วนนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน จึงหันมาสนับสนุนเทศกาลกินเจอีกแรงหนึ่งด้วยประการฉะนี้ี้
สุขสันต์ทั้งกายและใจในเทศกาลกินเจ 2567 นะครับ.
“ซูม”
คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม
แหล่งข่าว: ไทยรัฐ