
หน้าที่ 12 ในหนังสือ เยาวราชในดวงหน้า (สำนักพิมพ์ แสงดาว พ.ศ.2567) ไม่อยากบอก สมชาย จิว ผู้เล่าเรื่อง หลวงพ่อโม นักเลงโต ไม่กล้าแหยม…ว่า เรื่องนี้ ใกล้ใจ ใกล้ตัว สมัยเมื่อเป็นสามเณร เรียนนักธรรมตรีวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ เอามากๆ
เยาวราชนอกจากได้ชื่อว่า เป็นแหล่งชุมนุมเจ้าสัว ยังเป็นดงนักเลง ถิ่นทำมาหากินโรงบ่อนเบี้ย โรงฝิ่น โรงหญิงหาเงิน แก๊งอั้งยี่ต่างๆ ยุคหลังยังมีนักเลงเยาวราช ที่ถูกจำชื่อได้หลายคน เก๊า ม้าเก็ง ก่งก๊ง โอวตี๋ว แซ่โค้ว โอวกุ้ยซ้ง โอวสือ จุ่งไช้ แซ่โง้ว และล้อ วงเวียน
ในดงนักเลงย่อมมีการตีรันฟันแทงกันเป็นธรรมดา ตามมาด้วยการหาเครื่องรางของขลังไว้ป้องกันตัว
ในแวดวงนักเลงเยาวราช มีประโยค หลวงพ่อโม นักเลงโต ไม่กล้าแหยม เล่าขานกันติดปาก
หลวงพ่อโม เป็นใคร?
เรื่องนี้ เริ่มที่วัดใกล้วงเวียนโอเดียน เดิมชื่อวัดสามจีน มีตำนานเล่าว่า มีหนุ่มจีนสามคนได้ลายแทงขุมทรัพย์ เขียนว่า “ตำบลสามจีน มีหินสามก้อน ที่นอนสามอัน มีต้นโศกเอน ที่เจ้าเณรนั่งฉัน”
สามหนุ่มจีนฉลาดใช้ปัญญา ไขปริศนาลายแทง ขุดพบสมบัติมากมาย จึงแบ่งเงินมาสร้างวัด แล้วให้ชื่อว่า วัดสามจีน
สมชาย จิว บอกว่า เรื่องลายแทงเป็นแค่เรื่องเล่า เรื่องจริง วัดสามจีนมีในสมัยอยุธยา เช่นเดียวกับ วัดสามปลื้ม วัดโคก วัดราชบูรณะ วัดมหาธาตุ ตั้งอยู่เกาะเมือง ใกล้ย่านในไก่ ซึ่งเป็นย่านค้าขายชาวจีน
วัดสามจีนในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ก็ไม่ได้มีอยู่ในสำเพ็ง เยาวราชวัดเดียว เดิมเรียกวัดสามจีนใต้ เมื่อมีสามจีนใต้ ก็ต้องมี วัดสามจีนเหนือ ซึ่งก็คือวัดสังเวช บางลำพู ปัจจุบัน
พ.ศ.2482 สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) ตั้งชื่อวัดสามจีนใต้เสียใหม่ว่า วัดไตรมิตรวิทยาราม ซึ่งต่อมา มีชื่อเสียงเลื่องลือ เมื่อได้ พระพุทธรูปทองคำ สุโขทัยไตรมิตรมา ผู้คนก็หลงลืม หลวงพ่อโม ที่โด่งดังมาเนิ่นนานไป
หลวงพ่อโม เป็นลูกจีนแซ่ฉั่ว เกิด พ.ศ.2406 โยมพ่อชื่อลิ้ม โยมแม่ชื่อกิมเฮียง นำมาฝากเรียนที่วัดสามจีนใต้ อายุครบบวชก็บวชพระ โดยมีพระครูถาวรสมณวงศ์ (เปลี่ยน) เจ้าอาวาสเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ฉายา ธัมมสโร
หลวงพ่อโม เรียนวิชาลงขมิ้นชัน ที่กระหม่อม และวิชาเสกดอกบัวให้หญิงท้องคลอดบุตรง่ายจากพระอาจารย์เปลี่ยน และเมื่ออาจารย์ได้สมณศักดิ์ เป็นพระปรากรมมุนี รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก ก็ติดตามไปรับใช้
ความผูกพันกับพระพุทธชินราชสมัยที่อยู่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมื่อหลวงพ่อโมมาเป็นเจ้าอาวาสวัดสามจีนใต้ เมื่อ พ.ศ.2455 ท่านจึงสร้างพระพิมพ์รูปพระพุทธชินราช เนื้อชิน หลังเรียบ
จารอักขระหัวใจพระพุทธมนต์ด้านหลัง ขึ้นมารุ่นหนึ่ง
พวกลูกศิษย์นักเลง อั้งยี่ นับถือกันมาก พกติดตัวแล้วตีรันฟันแทง แล้วเล่าขานกันปากต่อมา ว่าอยู่ยงคงกระพัน ยิงฟันไม่เข้า ศิษย์ที่ไม่มีพระพุทธชินราช หลวงพ่อโม ก็เมตตาสักยันต์ลั่กกั้กให้ นัยว่าคุ้มชีวิตได้ไม่แพ้พระเครื่อง
ส่วนเหรียญปั๊มนั้น ท่านสร้างไว้น้อย สมชาย จิว อุตส่าห์หาภาพเหรียญแท้ให้ดู บอกว่าราคาเล่นกันเป็นแสน
ประโยค ใครมีหลวงพ่อโม นักเลงโต ไม่กล้าแหยม ดังขึ้นช่วงเวลาก่อนและหลัง พ.ศ.2500 นี่เอง
หลังหลวงพ่อโม มรณภาพเมื่อปี พ.ศ.2461 พระเครื่องของท่านก็ยังเล่นหากันอยู่
ราว พ.ศ.2501-2 ผู้เขียนขอตังโยมแม่ ซื้อแว่นส่องพระ ราคา 30 บาท จากห้างใต้ฟ้า เยาวราช ตอนเริ่มนิยมพระเครื่อง เคยแลกเปลี่ยนกับนักเลงพระรุ่นนั้น ได้หลวงพ่อโมไว้หลายองค์
สมชาย จิว สรุปหน้าที่ 12 ของเยาวราชไว้ว่า ถนนสายนี้ไม่ได้มีแต่ดวงหน้าเจ้าสัว พ่อค้า นักธุรกิจ นักเลง อั้งยี่เจ้าพ่อ เท่านั้น
ถนนเยาวราช มีชีวิตชีวาที่มีสีสันของหลวงพ่อโม หลวงพ่อดังวัดสามจีนใต้ หรือวัดไตรมิตรวันนี้รวมอยู่ด้วยอีกองค์หนึ่ง.
กิเลน ประลองเชิง
คลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม
แหล่งข่าว: ไทยรัฐ