“ขณะนี้เราทำงานเต็มที่เพราะรู้ว่าพี่น้องประชาชนกำลังเดือดร้อนจากเหตุการณ์นี้ ถ้าข้อเท็จจริง พาดพิงถึงเรียกมาสอบสวนทั้งหมด หากพบพฤติการณ์ร่วมกระทำผิดต้องถูกแจ้งข้อกล่าวหา แม้บุคคลนั้นจะไม่มีตำแหน่งในบริษัท แต่มีพฤติการณ์ความผิด ป้องกันหลบหนีนอกประเทศ” 

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ย้ำถึงความคืบหน้าการตรวจสอบการทำธุรกิจ บริษัทดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด ที่มีผู้เสียหายเข้ามาร้องทุกข์เป็นจำนวนมาก เบื้องต้นมูลค่าความเสียหาย 50 ล้านบาท

มีดาราคนดังเกี่ยวข้อง

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ วางตัว พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. เข้ามาเป็นหัวหน้าคณะทำงานรับพยานเอกสารการติดต่อชักชวนร่วมลงทุนธุรกิจและตัวอย่างสินค้า จัดทีมสืบสวนสอบสวนเข้ามาเร่งทำคดี

ดำเนินการตรวจสอบการจดทะเบียนขออนุญาตการประกอบกิจการ สอบถามตัวแทนขายว่าลักษณะการเข้าไปอบรม การนำทรัพย์สินใช้ในธุรกิจถูกต้องตามกฎหมาย “ธุรกิจขายตรง” หรือไม่

เพราะธุรกิจขายตรงกับ “แชร์ลูกโซ่” มีเส้นบางๆกั้นอยู่ ชั้นแรกในการทำคดีคณะทำงานมุ่งเป้าหมายที่ผู้ประกอบการผู้บริหารบริษัทกระทำผิดประเภทไหน ตามมาด้วยผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าข่ายตัวการหรือผู้เข้าร่วม

ผิดว่าไปตามผิด

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ วางรูปแบบคดีด้วยตัวเอง กำชับทำคดีโปร่งใส ยึดพยานหลักฐานข้อเท็จจริงระบุข้อหาความผิดผู้บริหาร ตัวแทนและคนดัง เพราะเข้าใจความรู้สึกคนที่เดือดร้อน คิดว่าถูกหลอกลวงทรัพย์สินเงินทอง

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ประสาน เลขา ป.ป.ง. ส่งหนังสือระบุพฤติการณ์ของผู้บริหารบริษัทและคำให้การผู้เสียหาย ขอให้เร่งรัดพิจารณายุติการดำเนินธุรกรรมทางการเงินของผู้บริหาร เพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อนมากกว่านี้

เพราะตำรวจมีหน้าที่สอบสวนเท่านั้น แต่ไม่มีอำนาจยึดทรัพย์ แต่มองถึงผู้คนที่กำลังเดือดร้อน

สร้างบรรทัดฐานคดีต่างจากอดีตที่ผ่านมา.

“เพลิงพยัคฆ์”
pluengpayak@thairath.co.th

คลิกอ่านคอลัมน์ “เลขที่1 วิภาวดีฯ” เพิ่มเติม