ลุงวัย 56 เมาเหล้า ก่อเหตุจุดไฟเผาบ้านตัวเอง อ้างน้อยใจที่ต้องใช้แรงงานแลกกับเงินหาเลี้ยงชีพ ส่วนคนอื่นได้เงิน 10,000 บาท จากรัฐบาลกินกันอย่างสนุกสนาน
วันที่ 24 ต.ค. 2567 พ.ต.ท.อภิชา เตียงประโคน สารวัตร (สอบสวน) สภ.เฉลิมพระเกียรติ อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ รับแจ้งมีเหตุเพลิงไหม้บ้าน บริเวณที่บ้านดอนไม้ไฟ หมู่ 7 ต.ตาเป๊ก อ.เฉลิมพระเกียรติ จึงประสานรถดับเพลิงพื้นที่ใกล้เคียงให้มาระงับเหตุ
จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบไฟกำลังลุกไหม้บ้านครึ่งปูนครึ่งไม้ เลขที่ 184 หมู่ 7 ต.ตาเป๊ก อ.เฉลิมพระเกียรติ รถดับเพลิงทำงานด้วยความยากลำบาก เนื่องจากรถเข้าไปไม่ถึงจุดเกิดเหตุ ประกอบกับบ้านเป็นไม้ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ต้องใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงจึงสามารถดับเพลิงได้ ตรวจสอบพบว่าตัวบ้านและทรัพย์สินภายในบ้านเสียหายทั้งหลัง
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ยังพบ นายจตุรงค์ เกษรนวล อายุ 56 ปี หนึ่งในเจ้าของบ้านหลังนี้ นั่งอยู่ข้างยุ้งข้าวด้วยอาการเมาสุราอย่างหนัก พูดจาวกวนไปมา เมื่อเจ้าหน้าที่สอบถามว่าใครเป็นคนเผา นายจตุรงค์ ยอมรับว่าเป็นคนใช้ไฟแช็กเผาบ้านเอง
ส่วนสาเหตุเพราะน้อยใจหลายเรื่องภายในบ้าน และยังยอมรับว่าอยู่ทุกวันนี้ต้องใช้แรงงานในการรับจ้างหาเงินมาเลี้ยงชีพตัวเอง ส่วนชาวบ้านคนอื่นได้เงินฟรีจากรัฐบาล 10,000 บาทกันอย่างสนุกสนาน ส่วนตนลำบาก
ขณะที่ นายมานพ เกษรนวน อายุ 48 ปี น้องชายคนเผาบ้านเล่าว่า ที่บ้านอยู่ด้วยกัน 3 คนคือแม่, พี่ชาย และตนเอง ก่อนเกิดเหตุพี่ชายมาขอเงินจะเอาไปซื้อบุหรี่และดื่มเหล้า แต่แม่ไม่มีให้จึงเริ่มบ่นคล้ายจะอาละวาด จากนั้นได้ใช้ไฟแช็กจุดไฟเผาด้านล่างของบ้าน ตนจึงเข้าไปดับได้ทัน ห่างกันประมาณ 5 นาที พี่ชายขึ้นไปบนบ้านแล้วจุดไฟเผาอีก คราวนี้ตนดับเองไม่ทันจึงไหม้ทั้งหมด
นายมานพ เล่าอีกว่า พี่ชายเคยเมาแล้วเผาบ้านจนติดคุกมาแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 แต่รุนแรงเพราะบ้านไหม้วอดทั้งหมด หลังจากนี้ยังไม่รู้ว่าจะอยู่กันอย่างไร
ทางด้าน พ.ต.อ.วิศิษฏ์ บัวสง่าวงค์ ผู้กำกับ สภ.เฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า เบื้องต้นคาดว่าน่าจะมีปัญหากันภายในบ้าน หลังจากนี้จะต้องให้กองพิสูจน์หลักฐานมาตรวจสอบ หากพบว่าเป็นการจงใจเผาอาจจะมีความผิด ตอนนี้ยังไม่ตั้งข้อกล่าวหา จึงควบคุมตัวไประงับสติอารมณ์ที่สถานีตำรวจก่อน
ส่วนการเยียวยาช่วยเหลือ จะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบอีกครั้ง ทั้งนี้ปัญหาคนเมาแล้วคลุ้มคลั่งช่วงที่ผ่านมาเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ซึ่งจะต้องใช้หลายหน่วยงานหาแนวทางการแก้ไขต่อไป.
แหล่งข่าว: ไทยรัฐ