“อัครเดช” คาดคดียิง “สจ.โต้ง” มีการล็อกเป้า วางแผนมาแล้วล่วงหน้า ขณะที่รู้ตัวมือยิงแล้ว แต่อยู่ในสำนวน ยืนยันในที่เกิดเหตุไม่มีตำรวจ คุมตัว “โกทร” กับพวกฝากขัง
เหตุยิงสนั่นภายในบ้านของนายสุนทร วิลาวัลย์ หรือโกทร นายก อบจ.ปราจีนบุรี อดีต รมช.สาธารณสุข พ่อของนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ อดีต รมช.ศึกษาธิการ เจ้าหน้าที่ตำรวจนำกำลังปิดล้อมจุดเกิดเหตุเพื่อเจรจาเข้าตรวจสอบ เพราะผู้ก่อเหตุยังอยู่ภายในบ้าน กระทั่งยอมวางอาวุธยืนยันเข้าตรวจสอบภายในบ้านได้แล้ว พบศพนายชัยเมศร์ สิทธิสนิทพงศ์ หรือ สจ.โต้ง ปราจีนบุรี เป็นลูกบุญธรรมนายสุนทร ถูกยิงร่างพรุน ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
วันที่ 13 ธ.ค. 67 ภายหลังการเข้าร่วมประชุมติดตามความคืบหน้าของคดี พลตำรวจโทอัครเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผย ภายหลังจากพาผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ชี้จุดเกิดเหตุ พบว่ามีการยิงกันที่บริเวณชั้น 2 ของตัวบ้าน สอดคล้องกับการจำลองเหตุการณ์ทั้งหมด ซึ่งพฐ. กำลังรวบรวมมาให้ ส่วนกรณีคนยิงตอนนี้รู้แล้ว แต่อยู่ในสำนวน ไม่สามารถเปิดเผยได้
สำหรับบ้านหลังเกิดเหตุมีทั้งหมด 3 ชั้น เหตุเกิดเริ่มที่ชั้น 2 ส่วนชั้นที่ 3 พบร่องรอยการถูกทำร้ายและการยิง ต่อเนื่องลงมาถึงชั้นล่าง ซึ่งบริเวณชั้นล่าง พบพยานหลักฐานคือปลอกกระสุนปืนเป็นจำนวนมาก จากอุปกรณ์ที่เชื่อว่าคนร้ายน่าจะมีการลงมายิงซ้ำ จากการตรวจสอบจุดเกิดเหตุอย่างละเอียดพบว่ามีการยิงทั้งจากในบ้านและนอกบ้าน ลักษณะเป็นการยิงต่อสู้กัน ขณะนี้รอให้กองพิสูจน์หลักฐานสรุปให้ชัดเจนอีกครั้ง ส่วนกรณีกล้องวงจรปิด ต้องรอกองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบว่าใช้การได้ทั้งหมดหรือไม่ และกล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพช่วงขณะเกิดเหตุไว้ได้หรือไม่
นอกจากนี้ พลตำรวจโทอัครเดช ยังกล่าวย้ำอีกว่า ส่วนตัวเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะมีการวางแผนมาเป็นขั้นเป็นตอนล่วงหน้า มีการล็อกเป้า ไม่ใช่เหตุที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า จึงเตรียมที่แจ้งข้อหากลุ่มผู้ก่อเหตุเพิ่ม ในข้อหา”ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน” อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ต้องหาที่ได้มีการรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือยิง ก็ยังไม่สามารถเชื่อได้ว่าใช่มือปืนผู้ก่อเหตุจริงหรือไม่
ส่วนประเด็นที่มีกระแสข่าวออกไปก่อนหน้านี้ว่ามีตำรวจ 4-5 นาย อยู่ในที่เกิดเหตุนั้น พลตำรวจโทอัครเดช ยืนยันว่า ในที่เกิดเหตุไม่มีตำรวจ แต่ยอมรับว่ามีตำรวจอยู่บริเวณด้านนอกจริง ซึ่งตำรวจ 4-5 นายนี้ไปดูแลความปลอดภัยให้กับบุคคล แต่จะเป็นบุคคลใด ระหว่างเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว หรือผู้เสียชีวิต ขณะนี้อยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ต้องรอผลการสอบสวนอีกครั้ง แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่มีการยิงโต้ตอบกัน สันนิษฐานเบื้องต้นว่าน่าจะเป็นการเข้าไปพยายามที่จะระงับเหตุ ส่วนขั้นตอนจะเป็นอย่างไร รอให้คณะทำงานของตำรวจภูธรภาค 2 ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน
นอกจากนี้ ยังได้มีการสอบปากคำประเด็นในเรื่องของการตกแต่งสถานที่เกิดเหตุ จากการที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุเบื้องต้นพบว่ามีการที่จะพยายาม เปลี่ยนแปลงสถานที่บางอย่าง แต่จากการที่ได้สอบปากคำอย่างละเอียด ทำให้มั่นใจได้ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินมาถูกทางแล้ว จึงได้แจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ส่วนผู้ร่วมก่อเหตุหรือผู้บงการ จะมีคนเดียวหรือหลายคน อยู่ระหว่างการสอบสวน ส่วนตัวเชื่อว่า มีการวางแผนก่อเหตุล่วงหน้ามาหลายวันแล้ว
ส่วนกรณีที่ 1 ในเจ้าของคลิปเสียง คือ ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ว่าไม่เห็นมือปืนในบ้านหลังดังกล่าว ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ยังไม่สามารถบอกได้ ซึ่งต้องดูว่าคลิปเสียงดังกล่าวมาจากใคร บันทึกไว้ช่วงเวลาไหน มีเจตนาอะไร และมีความหมายอย่างไร ส่วนเรื่องของคดีต้องดูที่หลักฐานและการวางแผนการสอบสืบสวนสอบสวน
ส่วนกรณีที่ญาติผู้เสียชีวิตได้ร้องขอความเป็นธรรมให้มีการโอนสำนวนคดีให้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเป็นผู้ดำเนินการต่อ ส่วนตัวมองว่า ตำรวจภูธรภาค 2 ทำคดีได้ดีอยู่แล้ว แต่หากตำรวจสอบสวนกลางหรือกองปราบมองว่า อยากทำให้คดีนี้มีความเชื่อมั่น และชัดเจนมากขึ้น ก็ให้กองปราบประเมินอยู่
ส่วนกรณีที่ภรรยาของผู้เสียชีวิตไม่ไว้วางใจการทำงานของตำรวจภูธรภาค 2 ตนเองขอให้เชื่อมั่นได้เลยจะให้ความเป็นธรรม และจะไม่มีความช่วยเหลือแก่กลุ่มคนใดๆทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม อยากให้ภรรยาผู้เสียชีวิตเข้ามาให้ข้อมูลและประสานกับตำรวจภูธรภาค 2 โดยเฉพาะเรื่องการรักษาความปลอดภัย ขอให้ทำเป็นหนังสือมาก็ยินดีที่จะจัดกำลังไปดูแลรักษาความปลอดภัยให้ทันที
พลตำรวจโทอัครเดช กล่าวทิ้งท้ายว่า การล็อกประตูบ้านแล้วก่อเหตุยิง เป็นการล็อกเป้าเหยื่อล่วงหน้า เชื่อว่ามีการวางแผนจะเตรียมการไว้ก่อน ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบฉับพลันทันด่วน ซึ่งจากพยานหลักฐาน เป็นวิถีกระสุน และกระสุนในที่เกิดเหตุ พบว่าผู้ตายวิ่งหนีลงมาจากชั้น 2 จนถึงชั้นล่างและคนร้ายก็ตามมายิงซ้ำ ส่วนผู้ตายจะเห็นหน้าคนร้ายหรือไม่สามารถตอบได้ แต่สิ่งที่ตนเองสามารถยืนยันได้ก็คือ คนร้ายเปิดฉากยิงผู้ตายด้วยปืนลูกซอง ทำให้ผู้ตายไม่สามารถหลบหนีได้จากนั้นคนร้ายก็ล็อกเป้ายิงต่อทันที ซึ่งคนใช้อาวุธปืนเป็นย่อมรู้วิธีการอยู่แล้ว
ต่อมาเมื่อเวลา 15.45 น. ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 7 คนไปส่งฟ้องฝากขังยังศาลจังหวัดปราจีนบุรี โดยมีกองทัพสื่อมวลชนรอถ่ายภาพทำข่าวตลอดเวลา โดยมีการทยอยนำตัวผู้ต้องหาขึ้นรถจำนวน 2 คัน ส่วนโกทรขึ้นรถตู้ของเจ้าหน้าที่ตำรวจไปขออำนาจศาลจังหวัดปราจีนบุรีฝากขังผลัดแรกเป็นเวลา 12 วัน ในข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, และความผิดตาม พ.ร.บ. อาวุธปืน”
โดยพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัวเนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญประชาชนและเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง อีกทั้งผู้ต้องหายังมีพฤติการณ์เป็นผู้มีอิทธิพล เกรงว่าหากผู้ต้องหาได้รับการประกันตัวหรือปล่อยตัวชั่วคราว อาจเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและหลบหนีได้ ซึ่งยากต่อการติดตามตัวมาดำเนินคดีภายหลังได้
ในระหว่างที่ผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวขึ้นรถตู้ของ สภ.ปราจีนบุรี สื่อมวลชนพยายามตะโกนสอบถามถึงสาเหตุการลงมือก่อเหตุดังกล่าว แต่ผู้ต้องหาทั้ง 6 คน กลับปิดปากเงียบ
ด้าน “โกทร” ซึ่งถูกควบคุมตัวขึ้นรถตู้เป็นคนสุดท้าย เผยถึงความสัมพันธ์ของตัวเองกับ สจ.โต้ง ว่า รักเหมือนลูก และว่าจะฆ่าทำไม ที่ผ่านมาตนช่วยเหลือเขามาตลอด ก่อนถูกตำรวจควบคุมตัวขึ้นรถตู้ไป
แหล่งข่าว: ไทยรัฐ