นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นประธานเปิดงานวันรำลึกมิสคอลฟีลด์ ประจำปี 2567 พร้อมปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “85 ปี การศึกษาคนตาบอดไทย รากฐานที่ยิ่งใหญ่ในการดำเนินงานด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ” กล่าวตอนหนึ่งว่า ดีใจมากที่ได้เห็นศักยภาพของคนพิการในแต่ละสาขา ต้องขอบคุณมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยฯ ที่ได้ช่วยเสริมศักยภาพของลูกหลานอนาคตของประเทศไทย ที่ถึงแม้ตาบอดแต่ใจไม่ได้บอด สังคมไทยต้องการพลังของคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะพิการทางสายตา พิการทางการได้ยิน หรือทางกายภาพ ทุกคนล้วนแต่มีศักยภาพซ่อนอยู่ ทั้งมีความสามารถต่างๆที่คนปกติยังไม่สามารถทำได้ พม. เป็นหนึ่งในไม่กี่กระทรวงที่มีการจ้างคนพิการตามกฎหมายในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ มาตรา 33 แต่ที่สำคัญไม่ต้องการให้คนพิการได้รับการจ้างงานเพราะความพิการ แต่อยากให้ได้รับการจ้างงานเพราะความสามารถ เพราะว่าคนพิการมีความสามารถมากมาย อย่างเช่นที่คนตาบอดนั้นมีทักษะในการฟังดีกว่าคนทั่วไป คนพิการมีสิทธิที่จะอยู่ในสังคมไทยได้อย่างอิสระ ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีที่เท่ากัน นี่คือหน้าที่ของ พม. และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องทำให้คนพิการไม่ได้รู้สึกว่าเป็นคนพิการ หรือถ้ามองกลับกัน สังคมเรากำลังพิการอยู่เพราะเราทำให้พี่น้องคนพิการไม่สามารถมีอิสระในการใช้ชีวิต การทำงานต้องอาศัยความร่วมมือของกระทรวงต่างๆ รวมทั้งภาคเอกชนและภาคประชาสังคม

นายวราวุธกล่าวด้วยว่า ตั้งแต่ตนเข้ามาทำงาน ได้ปรับเปลี่ยนบทบาท พม. จากกระทรวงสังคมสงเคราะห์เป็นกระทรวงที่จะดึงความสามารถผลักดันให้คนพิการ คนทุกกลุ่ม รวมทั้งผู้สูงอายุ มีศักยภาพที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น บริบทการทำงานของ พม. ในวันนี้จะเป็นกระทรวงหนึ่งที่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ เสริมศักยภาพให้กับคนพิการไม่ว่าจะเป็นพิการในรูปแบบใด และในปีนี้เรายังทำงานอย่างหนักหน่วงกันต่อไป และหวังอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน โดยเฉพาะจากมูลนิธิฯ ซึ่งจะช่วยส่งผลให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีศักยภาพและใช้ศักยภาพเหล่านั้นทำให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้า โดยที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังอย่างแท้จริง.