“เจ้าของดิไอคอนกรุ๊ป” เข้าพบตำรวจสอบสวนกลาง มั่นใจบริษัทถูกกฎหมาย อ้างเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เตรียมหาข้อเท็จจริงเยียวยาผู้เสียหาย

จากกรณี THE iCON GROUP บริษัทธุรกิจออนไลน์และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพ ถูกกลุ่มที่เคยร่วมลงทุน และเชื่อว่าเป็นผู้เสียหายตั้งข้อสงสัยว่า เข้าข่ายหลอกลงทุนเป็นลักษณะแชร์ลูกโซ่ โดยใช้ศิลปินดาราคนดังเป็นตัวดึงดูด ขณะที่ “บอสพอล-วรัตน์พล วรัทย์วรกุล” เจ้าของบริษัทที่ตกเป็นข่าวฉาว โผล่โพสต์แจงยันทำธุรกิจด้วยความโปร่งใส พร้อมให้ตรวจสอบผ่านกระบวนการยุติธรรม

ต่อมา “บอสพอล” ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เตรียมให้ข้อมูลแก่กระบวนการยุติธรรม เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ พร้อมจัดตั้งศูนย์เยียวยาบรรเทาทุกข์ ให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการทำธุรกิจ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น (“บอสพอล” เตรียมแสดงความบริสุทธิ์ ตั้งศูนย์เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากธุรกิจ)

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 12 ต.ค. 2567 บอสพอล หรือ วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ผู้บริหารดิไอคอนกรุ๊ป (The icon Group) เซอร์ไพรส์เข้าพบพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ บก.ปคบ. ท่ามกลางความประหลาดใจของสื่อมวลชนที่เฝ้าสังเกตการณ์ผู้เสียหายที่แห่เข้าให้ปากคำ

ขณะที่ บอสพอล มาพร้อมทีมงานทนายความ, บอดี้การ์ด และทีมแม่ข่าย ซึ่งพยายามกีดกันไม่ให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปสัมภาษณ์บอสพอลจนเกิดการชุลมุนกันขึ้น ก่อนที่สุดท้ายบอสพอลจะยอมให้สัมภาษณ์ก่อนพบตำรวจ โดยเปิดเผยว่า วันนี้ตั้งใจมาเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ปากคำและรายละเอียดเกี่ยวกับกรณีที่ตกเป็นจำเลยของสังคมในฐานะผู้บริหารดิไอคอนกรุ๊ป จนทำให้มีผู้สูญเสียทรัพย์สินจำนวนมาก และมีผู้เสียชีวิตเกี่ยวกับค้าขายผลิตภัณฑ์ของตัวเอง อยากมาแสดงความเสียใจ เพราะหลังจากที่ได้ทราบข่าวรู้สึกไม่ดีมาตลอด จึงมาแสดงความบริสุทธิ์ต่อสังคม และเพื่อออกมาชี้แจงในเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น

“บอสพอล” ชี้แจงความบริสุทธิ์ ปมดิไอคอนกรุ๊ป เตรียมเยียวยา

ทั้งนี้ บอสพอล ยังยอมรับอีกว่า ตนเองออกมาชี้แจงช้ามาก ซึ่งตอนนี้มีความตั้งใจจะช่วยเหลือเยียวยาและช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน ส่วนผู้ที่สูญเสียคนในครอบครัว ทางบริษัทจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและหาแนวทางแก้ไขช่วยเหลือ โดยอาจหาบุคคลที่ประชาชนให้ความเชื่อมั่นมาช่วยเหลือเป็นตัวกลางให้เกิดความยุติธรรมมากที่สุด

ส่วนความเสียหายทั้งหมดที่อ้างว่าเกิดขึ้นจากทางบริษัทของตนเองนั้น ต้องขอพิสูจน์ทราบและฟังคำให้การของฝั่งผู้เสียหายและฝั่งตนเองก่อน หากปรากฏข้อเท็จจริงจากทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว ก็เชื่อว่าข้อเท็จจริงจะปรากฏ และประชาชนจะสามารถตัดสินใจได้ว่าใครผิดใครถูก

ส่วนตัวยังคงเชื่อมั่นว่าบริษัทตนเองถูกกฎหมาย เพราะตั้งบริษัทมา 6 ปี แล้วไม่เคยคิดว่าการขายของออนไลน์ลักษณะนี้เป็นสิ่งผิด และตนเองก็ไม่ใช่เจ้าแรกที่ประกอบธุรกิจนี้ จะเห็นว่ามีรุ่นพี่ในธุรกิจขายของออนไลน์ที่ทำและเติบโตประสบผลสำเร็จ

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จากบริษัทที่เริ่มแรกอ้างว่าถูกต้องแต่ทำไมกลับกลายเป็นมีผู้เสียหายจำนวนมากเช่นนี้ นายพอลไม่ตอบเพียงยกมือไหว้ก่อนขอตัวไปให้ปากคำ ทำให้กลุ่มผู้สื่อข่าวทวงติงที่มีการสัญญาว่าจะให้สัมภาษณ์อย่างซื่อสัตย์ แต่ตัวนายพอลกลับเดินหนี ส่วนกลุ่มดาราจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ ตรงนี้ไม่ขอตอบเช่นกัน.