“บิ๊กหวาน-บิ๊กก้อง” แถลงผล งานสอบสวนกลางเปิดปฏิบัติการ “ทลายรังมังกรเทา” ค้น 46 จุดทั่วประเทศ กวาดผู้ต้องหา 1,014 คน ยอดเงินหมุนเวียนกว่า 3,600 ล้านบาท หลังตรวจสอบพบ ชาวต่างชาติเข้ามาเปิดบริษัทอำพรางตัวเข้ามาทำธุรกิจผิดกฎหมายด้วยการใช้ชื่อคนไทยเป็นนอมินีเปิดบริษัท-บัญชีนิติบุคคลม้าเอื้อแก๊งคอลเซ็นเตอร์- ค้ายาเสพติด เพราะสามารถโอนเงินได้ไม่จำกัดวงเงิน ไม่ต้องยืนยันตัวตน และโอนผ่าน Internet Banking ได้ทันที

ตำรวจร่วมกับกระทรวงพาณิชย์เปิดยุทธการทลายรังมังกรเทา เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 4 ธ.ค. ที่ห้องประชุมชั้น 2 กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. รรท.จตช. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ. นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมกันแถลงข่าวปฏิบัติการ “ยุทธการทลายรังมังกรเทา” ตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหาชาวไทยและต่างชาติกว่า 1 พันคน พบเงินหมุนเวียนกว่า 3,600 ล้านบาท หลังสืบสวนตรวจสอบพบชาวต่างชาติเข้ามาเปิดบริษัท อำพรางตัวเข้ามาทำธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย

พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. กล่าวว่า ตำรวจ บก.ปอศ. ร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมกันปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่ 46 จุดทั่วประเทศ ตรวจค้นพบเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของนิติบุคคล 442 บริษัท รวมมูลค่าทุนจดทะเบียน 1,189 ล้านบาท มีเงินหมุนเวียนกว่า 3,600 ล้านบาท พบผู้กระทำผิด 1,014 ราย แบ่งเป็นชาวจีน 258 คน ชาวไทย 714 คน เยอรมัน 3 คน อังกฤษ 3 คนญี่ปุ่น 2 คน เมียนมา 2 คน กัมพูชา 4 คน อเมริกัน 1 คน มาเลเซีย 21 คน เวียดนาม 4 คน สิงคโปร์ และคาซัคสถาน ประเทศละ 1 คน

พล.ต.ท.จิรภพกล่าวต่อว่า ลักษณะของการกระทำผิดจะแบ่งเป็น 2 รูปแบบคือ ไปจดทะเบียนบริษัทโดยใช้คนไทยเป็นนอมินีเพื่อทำนิติกรรมอำพราง พบว่ามีการประกอบธุรกิจที่สงวนเอาไว้สำหรับคนไทยเท่านั้น และยังมีการถือกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ มีทั้งบ้านหรูและที่ดินเพื่อการเกษตร รวมมูลค่ากว่า 254 ล้านบาท ส่วนการเข้าตรวจค้นสำนักงานบัญชี และบริษัทนอมินี พบตราประทับของบริษัทต่างๆกว่า 242 ชิ้น พบข้อมูลการว่าจ้างสำนักงานทนายความ หรือสำนักบัญชีที่คอยจดทะเบียนบริษัทให้กับชาวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มคนจีน นอกจากนี้ยังพบมีร้านค้า, ร้านอาหาร, ซุปเปอร์มาร์เกต และโกดังนำเข้าสินค้าขนาดใหญ่ สินค้าส่วนใหญ่ไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้ามาในราชอาณาจักร รวมถึงยังพบบริษัทรับแลกเปลี่ยนเงินตราที่ลักลอบเปิดกิจการโดยใช้ชื่อคนไทยอีกด้วย

ผบช.ก.กล่าวต่ออีกว่า รูปแบบที่ 2 คือจดทะเบียนบริษัทในลักษณะของบัญชีม้านำไปเปิดบัญชีธนาคารรับโอนผลประโยชน์จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และใช้ฟอกเงิน ปัจจุบันมิจฉาชีพจะเปลี่ยนมาใช้บัญชีบริษัทเพื่อเปิดบัญชีม้านิติบุคคลแทนบัญชีบุคคลเพื่อรับโอนเงิน จะสามารถโอนเงินได้ไม่จำกัดวงเงินโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน สามารถโอนผ่าน Internet Banking ได้ทันที กลุ่มมิจฉาชีพจะไปว่าจ้างสำนักงานบัญชีหรือสำนักงานทนายความ จดทะเบียนนิติบุคคลแอบอ้างชื่อคนไทยเป็นเจ้าของก่อนนำชื่อนิติบุคคลไปเปิดบัญชีธนาคาร โดยไม่ได้ประกอบกิจการจริง จากข้อมูลที่รับแจ้งความร้องทุกข์ผ่านระบบแจ้งความออนไลน์ พบบริษัทที่มีลักษณะเข้าข่ายบริษัทนิติบุคคลม้าหลายสิบบริษัทอีกด้วย

ด้านนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 4 พ.ย. กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ทำ MOU ร่วมกับ บช.ก. เพื่อร่วมตรวจสอบนิติบุคคลที่มีความเสี่ยง เป็นการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นไม่ให้มิจฉาชีพไปหลอกลวงคนไทย ก่อนจะเปิดปฏิบัติการทลายรังมังกรเทาเข้าตรวจสอบจนพบบริษัทนิติบุคคลหลายแห่งที่มีแนวโน้มเข้าข่ายการกระทำความผิด จนพบแผนประทุษกรรมทั้ง 2 รูปแบบ คดีนี้มีอัตราโทษสูง มีโทษถึงจำคุก ฝากถึงบุคคลที่รู้ตัวว่าเป็นนอมินี ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่จะยังกันตัวไว้เป็นพยานได้ อีกทั้งเจ้าหน้าที่ยังได้รวบรวมข้อมูลส่งไปให้สภาวิชาชีพบัญชีและสภาทนายความ จะมีผลต่อการประกอบอาชีพด้วย ขอให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ด้วย

ด้าน พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. รรท.จตช. กล่าวว่า ปัจจุบันพบว่าการปล่อยให้คนต่างชาติเข้ามาใช้คนไทยเป็นนอมินีไปเปิดบริษัททำธุรกิจ จดทะเบียนรูปแบบต่างๆโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการถือครองทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่เป็นปัญหาใหญ่ในประเทศมีคนไทยจำนวนมากเป็นเหยื่อถูกหลอกลวง ขณะที่มีคนไทยด้วยกันให้การช่วยเหลือ เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดำเนินการกับภัยคุกคามต่อชาติในรูปแบบนี้ต่อไปให้ถึงที่สุด