“ทนายตั้ม” บุกกองปราบปราม อ้างมีตำรวจตามไปเฝ้าที่บ้าน ถือโอกาสแจงยิบปมเงิน 39 ล้านบาท ค่าจ้างศิลปินจีนมาไทย ที่แท้ถูกมิจฉาชีพหลอกโอนเงิน เตือนแล้วแต่เจ๊อ้อยยังสั่งโอนเงินหลายครั้ง สุดท้ายถูกหลอก ส่วนข้อมูลเงิน 71 ล้านบาท ขอให้การกับตำรวจ หลังลงบันทึกประจำวันเผย ตำรวจนัดเข้าให้การแล้ว เป็นเวลาเดียวกับ “เจ๊อ้อย” เข้าให้การตำรวจเป็นครั้งที่ 4 แต่ไม่ได้พบกัน ด้าน “ออยศรี” เข้าให้ข้อมูลตำรวจตามคำเชิญ เชื่อเจ๊อ้อยไม่ได้ให้เงินด้วยความเสน่หา ยันไม่มีอคติอะไรกับทนายตั้ม

กรณี นางจตุพร หรือเจ๊อ้อย อุบลเลิศ เศรษฐินีชาวไทยอาศัยอยู่ประเทศฝรั่งเศส (สาธารณรัฐฝรั่งเศส) มอบอำนาจให้ทนายความเข้าแจ้งความร้องทุกข์พนักงานสอบสวน สภ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ดำเนินคดีนายษิทรา หรือทนายตั้ม เบี้ยบังเกิด ข้อหาฉ้อโกง หลอกให้ลงทุนซื้อแพลตฟอร์มหวยออนไลน์ แต่หลังจากโอนเงินให้ 2 ล้านยูโร คิดเป็นเงินไทยประมาณ 71 ล้านบาท การดำเนินการไม่คืบหน้า มอบหมายให้ทนายความติดต่อทวงเงิน หลังจากนั้นร้องเรียนไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สั่งโอนคดีจาก สภ.ปากช่อง มาให้กองบัญชาการสอบสวนกลาง (บช.ก.) ดำเนินการ เรียกสอบสวนเจ๊อ้อยมาแล้ว 3 ครั้ง แต่ยังไม่ได้ดำเนินการออกหมายเรียกหรือหมายจับทนายตั้ม

ความคืบหน้าจากกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 5 พ.ย. นางจตุพร หรือเจ๊อ้อย อุบลเลิศ พร้อมด้วยนายสมชาติ พินิจอักษร ทนายความส่วนตัว เข้าพบ พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.สุริยศักดิ์ จิราวัสน์ ผกก.3 บก.ป. และคณะพนักงานสอบสวน เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมคดีแจ้งความเอาผิดทนายตั้มหลอกลวงเงินเป็นครั้งที่ 4 ทนายสมชาติกล่าวว่า ที่ผ่านมาเจ๊อ้อยให้ปากคำ ตำรวจไปทุกประเด็นแล้ว แต่วันนี้จะให้ข้อมูลเพิ่มเติมในรายละเอียดเพื่อให้เกิดความรัดกุมมากขึ้น ส่วนไหนที่ยังตกหล่นจะส่งต่อให้พนักงานสอบสวนดำเนินการ มุ่งเน้นไปที่ประเด็นเงิน 71 ล้าน ทั้งในส่วนของพฤติการณ์ และเส้นทางการเงิน

ภาพรวมสอบปากคำไปแล้ว 80 เปอร์เซ็นต์ คาดว่า หากให้ปากคำเสร็จสิ้นภายในวันนี้ น่าจะชัดเจนเรื่องการออกหมายเรียกหรือหมายจับผู้เกี่ยวข้อง ส่วนจะเป็นใครบ้าง กี่คน และข้อหาอะไร ขึ้นอยู่กับดุลพินิจพนักงานสอบสวน เพราะปมเงินที่แจ้งความมีหลายยอด ทั้งเงิน 71 ล้านบาทนำไปลงทุนธุรกิจลอตเตอรี่ออนไลน์ ค่าจ้างศิลปินชาวจีนมาแสดงในไทย 39 ล้านบาท แต่ไม่มีการว่าจ้างจริง เส้นเงินนี้เชื่อมโยงกับ ส.ด้วย ค่าออกแบบสร้างโรงแรม 9 ล้านบาท ค่ารถเบนซ์ 13 ล้านบาท และค่าออกแบบบ้านสามีเจ๊อ้อย 3 ล้านบาท แต่ละยอดต่างกรรมกัน ทำให้อาจแจ้งข้อหาแตกต่างกันตามพฤติกรรมกระทำผิด

ต่อมาเวลา 10.00 น. นายษิทรา หรือทนายตั้ม เบี้ยบังเกิด เดินทางมาที่กองปราบปราม หลังจากเก็บตัวเงียบมานับสัปดาห์ ทนายตั้มกล่าวว่า วันนี้ตั้งใจเข้ามาหาพนักงานสอบสวนในคดี 71 ล้านบาทที่ถูกกล่าวหา เนื่องจากตนบอกพนักงานสอบสวนไปหลายครั้งแล้วว่า พร้อมมาให้ข้อมูลและรอตำรวจเรียกไปให้ปากคำ ตำรวจกลับไม่เรียก จู่ๆปรากฏว่ามีตำรวจไปติดตามตนที่บ้านหลายวัน ตนอยู่บ้านทุกวัน ที่ปรากฏข่าวในสื่อว่า ตนไปที่อื่นไม่เป็นเรื่องจริง ที่ตนตัดสินใจมาพบพนักงานสอบสวนวันนี้เพราะเมื่อเช้าพบว่า มีตำรวจขับรถไปดักอยู่หน้าบ้าน 3 คัน ทำให้ไม่สบายใจ อยากฝากถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า การจะไปนำใครมาสอบปากคำโดยไม่มีหมาย หากตนไปร้องจะมีความผิด

“ที่ผมไม่ได้ออกมาชี้แจงเนื่องจากอยากให้ฝั่งเจ๊อ้อยชี้แจงให้การอย่างเต็มที่ก่อน ผมเคยทำหนังสือถึง บช.ก. ตั้งแต่ตอนคดีถูกโอนมาใหม่ๆว่า ให้สอบผู้กล่าวหาพร้อมพยานอย่างละเอียดโดยแยกกับทนาย แท้จริงผมรู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร อยากให้ตำรวจดำเนินการอย่างเต็มที่ หากรีบมาจะมีเวลาทำคดีน้อยลง เรื่องที่ถูกกล่าวหาทุกประเด็น ไม่เป็นเรื่องจริง เพราะที่ผ่านมาทำใบเสนอราคามาตลอด ผมเป็นน้องรักของเจ๊อ้อย ให้ทำอะไรก็ทำมาตลอด หากจะเข้าข้อหาฉ้อโกงต้องมีเจตนาฉ้อโกงแต่แรก และเรื่องรถเมอร์เซเดส เบนซ์ จีแอลเอส ที่กล่าวอ้างว่า ราคา 8-9 ล้านบาท ไม่เป็นจริง การกล่าวอ้างว่าผมนำรถไปให้จีนเทาเช่า เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากชื่อเจ้าของรถเป็นเจ๊อ้อย ไม่ใช่ไฟแนนซ์ไม่มีสิทธิ์นำรถไปปล่อยเช่า ผมได้ครอบครองรถคันนี้ไม่กี่เดือนเท่านั้น” ทนายตั้มกล่าว

ทนายตั้มเผยอีกว่า เรื่องเงิน 71 ล้านบาทยืนยันว่าได้มาโดยเสน่หา ส่วนคำว่าเสน่หาเป็นศัพท์ทางกฎหมาย สังคมคงไม่เชื่อ อีกทั้งมีบางรายการพยายามจะเล่นงานตนเรื่องดังกล่าว ยืนยันความบริสุทธิ์ หากเป็นการฉ้อโกงพร้อมจะคืน หากไม่ใช่ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย ตอนนี้ยังเป็นคดีความอยู่ ยังไม่ทราบว่าต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวหรือไม่ หากไม่ต้องคืนจะต้องเสียภาษี 5 เปอร์เซ็นต์ตามกฎหมายกำหนด

“ส่วนประเด็นเงิน 39 ล้านบาท เรื่องนี้จะพยายามพูดไม่ให้เกิดความเสียหาย แต่เรื่องเงินที่สื่อนำเสนอคนละเรื่องกับเรื่องจริง เรื่องเงิน 39 ล้านบาท เจ๊อ้อยพูดคุยกับผู้ที่อ้างว่าเป็นดาราจีนชื่อ “เฉินคุณ” เเท้จริงเเล้วเป็นสแกมเมอร์ ตามคำบอกเล่าของเจ๊อ้อยพูดคุยมาเป็นปีแล้ว ต้องการให้มาประเทศ ไทยให้ตนโอนเงินให้ สแกมเมอร์รายนี้ให้โอนเป็นบิทคอยน์ ตนไม่มีความรู้ ให้น้องชื่อ “นุ” โอนให้ หลังจากโอนไปแล้วกลับไม่สามารถมาไทยได้ บอกให้โอนเงินเพิ่มอีก เป็นค่าดำเนินการและบอดี้การ์ด เลขาเจ๊อ้อยเริ่มเอะใจว่าจะถูกหลอก เจ๊อ้อยยืนยันให้โอนรอบ 2 ผมให้รุ่นน้องชื่อนุช่วยโอนเช่นเดิม เมื่อโอนเสร็จดาราคนดังกล่าวไม่ยอมมาไทย ผมพยายามเช็กกับทางจีน ไปขอคอนแทกต์มาจากพี่เอ- ศุภชัย ที่รู้จักกับคนที่คอยพาดาราจีนเข้าประเทศไทยชื่อคุณหลิว

ทนายตั้มแจงต่อว่า ตนเล่าเรื่องให้คุณหลิวฟัง คุณหลิวบอกว่า ดาราจีนมูลค่าสูงมาก จะไม่มาคุยกับเอฟซีตรงๆ และไม่มีการให้โอนเงินให้ ที่สำคัญคือขณะที่คุยอยู่นั้น เฉินคุณยังนั่งสมาธิอยู่ในป่า ไม่มีทางมาไทย เจ๊อ้อยไม่เชื่อยังจะโอนอีก 5 ล้านบาท ตนและเลขาเจ๊อ้อยไม่อยากทำให้ เจ๊อ้อยบอกว่า เงินของพี่จะโอนให้ใครก็ได้ ให้นุโอนเงินให้ก็ยังไม่ได้พบดาราจีน หลังจากนั้นเจ๊อ้อยไปแจ้งความเอาผิดกับนุ ภายหลังเจ๊อ้อยอาจสงสารนุเลยไปเคลียร์ให้ ตอนนี้กลับมีข่าวว่าตนเป็นคนสร้างเรื่องต่างๆ ตนเป็นทนายความมีหลักฐาน จริงๆอยากรอหมายจากตำรวจแต่หมายก็ยังไม่มา

หลังให้สัมภาษณ์ ทนายตั้มเดินไปที่อาคารศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ลงบันทึกประจำวัน ใช้เวลานานกว่า 15 นาที หลังจากเดินออกมากล่าวแค่ว่า จะไม่ให้สัมภาษณ์อะไรแล้ว เบื้องต้นตำรวจนัดวันมาให้ปากคำเพิ่มเติมแล้ว ตนจะแจ้งให้สื่อมวลชนทราบอีกครั้ง

ต่อมาเวลา 16.30 น. น.ส.บุญยนุช แสงศรี แอดมินเพจ “ออยศรีและผองเผือก” เข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ให้ปากคำคดีทนายตั้มถูก นางจตุพร หรือเจ๊อ้อย อุบลเลิศ แจ้งความเอาผิดฐานฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท น.ส.บุญยนุชกล่าวว่า มาตามคำเชิญของตำรวจ ประสานไปหาเมื่อคืนให้เข้ามาให้ปากคำเกี่ยวกับคดีทนายตั้ม แต่จะเป็นประเด็นใดไม่สามารถตอบได้ ส่วนตัวเชื่อว่าตำรวจอาจอยากให้ตนแนะนำบุคคลที่ใกล้ชิดหรือรู้ข้อมูลทนายตั้ม เพื่อตำรวจจะได้เรียกตัวมาเป็นพยานหรือมาสอบปากคำ ที่ผ่านมาตนวิพากษ์วิจารณ์ทนายตั้มฐานะประชาชนคนหนึ่ง ไม่ได้มีอคติตามข้อเท็จจริง มีคนติดต่อเข้ามาพอสมควร ไม่ทราบว่าคนเหล่านั้นเข้ามาแจ้งความทนายตั้มหรือไม่

ส่วนเรื่องเงิน 71 ล้านบาทที่กล่าวอ้างว่าเป็นเงินที่ให้ทนายตั้มโดยเสน่หา น.ส.บุญยนุชเผยส่วนตัวมองว่าการให้เงินโดยเสน่หา ต้องไม่มีข้อแม้และไม่มีเงื่อนไข เมื่อมีเงื่อนไขหรือมีข้อแม้หมายความว่าไม่ใช่การให้โดยเสน่หา ทนายตั้มให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า “เหตุใดต้องแจ้งความดำเนินคดีตัวเองข้อหาฉ้อโกง ทั้งที่มีใบเสนอราคา” ดังนั้นคำพูดนี้บ่งบอกชัดว่าเป็นการทำข้อตกลง เชื่อว่าเจ๊อ้อยไม่ได้ให้ด้วยความเสน่หา ไม่คิดว่าทนายตั้มจะกล้าไปยุ่งเกี่ยวกับเงินคนอื่นขนาดนี้ เพราะคนที่มีอาชีพเป็นทนายความต้องยุ่งกับการว่าความ การเขียนสำนวน และการแก้ต่างในชั้นศาล หลังให้สัมภาษณ์เสร็จได้ขึ้นไปพบคณะพนักงานสอบสวนทันที