7 ตำรวจจราจรกลางอ่วม ส่อโดนข้อหาหนักตาม พ.ร.บ.อุ้มหายเพิ่ม รอง ผบก.น.2 มั่นใจพยานหลักฐานแน่นหนา ไม่ต้องรอภาพจากกล้องติดตัวตำรวจที่ก่อเหตุ เบื้องต้นร้องขอไปทาง บก.จร.แล้ว ด้าน ผบช.น.เต้น เรียกประชุมขันนอตตำรวจจราจรทั้งนครบาล คาดโทษผู้บังคับบัญชา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกจะโดนเด้ง เพราะถือไม่มีความสามารถดูแลลูกน้องได้ “ร.ฟ.ท.” สั่งตั้งกรรมการสอบพนักงานขับรถไฟฟ้าสายสีแดง ตัวต้นเหตุขับรถฝ่าด่านตรวจเมา เบื้องต้นสั่งพักงาน 15 วันโดยไม่ได้รับค่าจ้าง สอบต่อโทษหนักสุดถึงให้ออก ขณะที่เจ้าตัวเข้ารับทราบข้อหาแล้ว
กรณีตำรวจ บก.จร. 7 นาย นำโดย ร.ต.อ.ทวีพงษ์ อืดทุม รอง สว.งานสายตรวจ 1 กก.1 บก.จร.จับกุมและรุมซ้อมนายธนานพ เกิดศรี อายุ 33 ปี ลูกชาย พ.ต.ท.ธนชัย เกิดศรี อายุ 61 ปี อดีต สว.กก.2 บก. ปทส.จนบาดเจ็บสาหัส เพราะเข้าใจผิดคิดว่าขับรถแหกด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ เหตุเกิดใกล้ด่านตรวจบริเวณซอยประเสริฐมนูกิจ 21 แขวงเสนานิคม เขตจตุจักร กทม. เบื้องต้นอ้างว่า ผู้เสียหายแหกด่านและขัดขืนการจับกุม แต่หลังเกิดเหตุครอบครัวผู้เสียหายตามหาภาพจากกล้องวงจรปิดขณะเกิดเหตุมายืนยันว่า ตำรวจทำร้ายร่างกายผู้เสียหายโดยไม่มีความผิด ไม่เป็นไปตามขั้นตอนตามจับกุมและผิดกฎหมาย จนเข้ามอบตัวพนักงานสอบสวน สน.บางเขน รับทราบข้อหาไปแล้ว
ความคืบหน้าจาก สน.บางเขน เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 9 ธ.ค. พ.ต.อ.ธิติพงค์ ภิวัฒน์วุฒิกุล รอง ผบก.น.2 พ.ต.อ.อนันต์ วรสาตร์ ผกก.สน.บางเขน พร้อมพนักงานสอบสวนร่วมประชุมติดตามความคืบหน้าคดี รวมถึงการติดตามตัวผู้ขับขี่รถยนต์มาสด้า สีแดง คันที่ขับรถแหกด่านตัวจริงมาดำเนินคดี พ.ต.อ.ธิติพงค์เผยว่า ตั้งแต่รับแจ้งเหตุเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐาน และสอบปากคำทั้งครอบครัวผู้บาดเจ็บไปประกอบสำนวนเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนไล่กล้องวงจรปิดแล้ว กระทั่งเจอจุดที่ตั้งด่านและพบว่ามีการตั้งด่านในวันเกิดเหตุจริง และมีการติดตามรถผู้บาดเจ็บจริง
“ส่วนที่เกิดเหตุ สน.บางเขน ค้นหาไม่เจอ กระทั่งวันที่ 5 ธ.ค. ครอบครัวผู้บาดเจ็บมาชี้จุดเกิดเหตุว่าอยู่ตรงไหน ฝ่ายสืบสวนไล่กล้องวงจรปิดและบันทึกภาพเรียบร้อย เพื่อเป็นหลักฐานประกอบสำนวนสอบสวน หลังจากนั้นสอบสวนผู้บาดเจ็บให้การสอดคล้องกับข้อมูลกล้องวงจรปิด จึงเรียกตัว ผู้ต้องหาทั้ง 7 คนมาแจ้งข้อกล่าวหาเรียบร้อย เบื้องต้น 2 ข้อหาคือ ตามมาตรา 157 และร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บ เบื้องต้นทั้งหมดให้การปฏิเสธ อ้างว่า ไม่มีเจตนาทำร้ายร่างกาย เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ ในส่วนนี้เป็นสิทธิที่ผู้ต้องหาให้การ “รอง ผบก.น.2 กล่าว
พ.ต.อ.ธิติพงค์กล่าวต่อว่า คณะกรรมการ ประชุมและปรึกษากันได้ความว่า พฤติกรรมผู้ต้องหาแบบนี้ คาดว่าเข้าข่ายตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 ตามมาตรา 6 และจะทำหนังสือไปถึงอัยการเพื่อร่วมกันสอบสวน หากพบว่ากระทำผิดจริงจะแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่ม เบื้องต้นมีกรอบเวลาทำสำนวน 30 วันก่อนส่งให้ ป.ป.ช.พิจารณาว่าจะรับทำคดีเอง หรือส่งกลับมาให้ตำรวจรับดำเนินการ ส่วนการพิจารณาของ ป.ป.ช.ไม่สามารถก้าวล่วงได้ แต่คาดว่าน่าจะเร่งรัดทำคดีเช่นเดียวกัน เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.ส่งเอกสารไปให้ บก.จร.ต้นสังกัดผู้ต้องหา เพื่อขอภาพกล้องติดหน้าอก 3 ตัวของผู้ต้องหาทั้ง 7 คน บก.จร.อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลส่งกลับมาให้ สน.บางเขน ยืนยันว่าตำรวจมีพยานหลักฐานเพียงพอ แม้ยังไม่ได้ภาพกล้องติดอก
รอง ผบก.น.2 เผยด้วยว่า ในส่วนนายธนายุทธ กรึงไกร อายุ 37 ปี คนต้นเรื่องขับรถเก๋งมาสด้า สีแดง หลบหนี ตำรวจพิจารณาแล้วว่า ผู้ก่อเหตุมีพฤติการณ์ดื่มสุราขณะขับรถ ตรวจสอบพบว่า มีแอลกอฮอล์ในร่างกาย เจ้าหน้าที่จึงสั่งให้ผู้ก่อเหตุขับรถจอดชิดซ้ายเพื่อตรวจอย่างละเอียด แต่ผู้ก่อเหตุไม่ยอมขับรถชนด่านหลบหนี พิจารณาแล้วเข้าข่ายความผิด 3 ข้อหาคือ 1.เมาสุราในขณะขับรถ 2.ขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน และ 3.ทำให้เสียทรัพย์ เบื้องต้นเจ้าตัวประสานเข้ามารับทราบข้อกล่าวหาวันนี้เวลาประมาณ 18.00 น. คาดการณ์ว่าเจ้าตัวน่าจะรับสารภาพ
“ในส่วนการเยียวยาผู้ได้รับบาดเจ็บ เบื้องต้นจะมีค่ารักษาพยาบาลให้ และจะแจ้งสิทธิได้รับการเยียวยาให้กับผู้บาดเจ็บ อีกทั้งจะเรียกผู้บาดเจ็บมาสอบปากคำเพิ่มเติมเป็นครั้งที่ 3 เนื่องจากว่า 2 ครั้งแรก เป็นการสอบปากคำที่โรงพยาบาล ผู้บาดเจ็บเองยังไม่สะดวกให้ข้อมูลมากนัก” พ.ต.อ.ธิติพงค์กล่าว
ต่อมาเวลา 18.20 น. นายธนายุทธ กรึงไกร อายุ 37 ปี คนขับรถเก๋งมาสด้า 2 สีแดง ทะเบียน 4 ขฉ 6873 กรุงเทพมหานคร คันแหกด่าน พร้อมทนายความเข้ามอบตัวกับ พ.ต.ท.กันตพัฒน์ ประเศรษฐสุด สว. (สอบสวน) สน.บางเขน เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา เมาสุราในขณะขับรถ ขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน และทำให้เสียทรัพย์ นายธนายุทธกล่าวก่อนเข้าพบพนักงานสอบสวนว่า ขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถามเมาเหล้าหรือไม่ แต่นายธนายุทธไม่ตอบ
ที่ห้องประชุม บก.อคฝ.วันเดียวกัน พล.ต.ท.สยาม บุญสม รรท.ผบช.น. พล.ต.ต.ธวัช วงศ์สง่า รอง ผบช.น. ดูแลงานจราจร พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ บัณฑิตย์ ผบก.จร. พล.ต.ต.เกียรติกุล สนธิเณร ผบก.น.3 รอง ผบก.น.1 – 9 ที่ดูแลงานจราจร ผกก.ทำงานเกี่ยวข้องกับจราจร รอง ผกก.จร.ทั้ง 88 สถานีตำรวจนครบาล ร่วมประชุมกำชับการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจจราจร หลังเกิดเหตุตำรวจจราจร 7 นาย สังกัด บก.จร. รุมทำร้ายลูกชายอดีตตำรวจ และคนขับสามล้อรุมทำร้ายผู้เสียหายใช้เวลาประมาณ 1 ชม.
พล.ต.ท.สยามกล่าวในที่ประชุมว่า หลังเหตุการณ์ดังกล่าว กระแสสังคมจับตามองการทำหน้าที่ของตำรวจจราจร ข้อเท็จจริงเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคนต้องเข้าใจการทำงาน อำนวยการยุติธรรม และการสร้างความสงบสุขให้ประชาชน รวมทั้งมีสื่อโซเชียลมีเดียติดตามทุกย่างก้าว วันนี้เรียกประชุมเร่งด่วนด้วยความห่วงใย และเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตำรวจนครบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องกำชับการปฏิบัติไม่ให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอีกเด็ดขาด ขอให้กำชับการปฏิบัติถี่ขึ้น ให้นำข้อผิดพลาดเป็นบทเรียนเพื่ออบรมฝึกยุทธวิธีการเข้าจับกุมตามระเบียบแบบแผนและกฎหมาย รวมทั้งชุดคำพูดในการปฏิบัติที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข อดีต ผบ.ตร.สร้างแนวคิดดังกล่าวไว้ เนื่องจากอาจมีการปะทะกับประชาชนที่ไม่พอใจการปฏิบัติหน้าที่ ต้องอดทนอดกลั้น และต้องมีผู้บังคับบัญชาลงมาตรวจสอบการปฏิบัติเมื่อเกิดปัญหา ดำเนินการให้ถูกต้องเพื่อสร้างความปลอดภัยแก่ตำรวจผู้ปฏิบัติ
“หากมีครั้งต่อไป ถ้ากระทำผิดพลาดในการปฏิบัติหน้าที่อีก ผู้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบ ไม่มีความสามารถในตำแหน่ง ให้ปรับเปลี่ยนตำแหน่งออกจากหน้าที่ อย่างไรก็ตาม เราเห็นตำรวจจราจรทำงานด้วยความยากลำบากและทำความดีมาตลอด คนที่ดีทำดีมาตลอด มีเพียงส่วนน้อยที่ทำไม่ดี ดังนั้นใครมีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงขอให้ดำเนินการตรวจสอบผู้ใต้บังคับบัญชาอย่าปล่อยให้ลูกน้องแก้ปัญหาหรือทำงานโดยลำพัง ต้องให้ความรับผิดชอบและให้คำแนะนำในจุดที่เกิดปัญหาเกี่ยวกับงานจราจร” รรท.ผบช.น.กล่าว
ส่วนการตั้งจุดตรวจจุดสกัด พล.ต.ท.สยาม กล่าวว่า ผู้บังคับบัญชาทบทวนปฏิบัติตามระเบียบโดยเคร่งครัด ไม่มีการแอบซุ่มจับโดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเด็ดขาด ต้องดำเนินการถูกต้องตามระเบียบ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น จึงมาทำความเข้าใจด้วยความห่วงใย ถือว่าเป็นการแจ้งเตือน ไม่อยากดำเนินคดีกับผู้ใต้บังคับบัญชา หรือลงโทษในลักษณะดังกล่าว แต่ผู้ทำดีอยู่แล้วขอขอบคุณชื่นชมจากใจ ใครที่ทำไม่ดี ขอให้ผู้บังคับบัญชาเข้าไปเตือน ชี้แจงผู้ใต้บังคับบัญชา นำเหตุที่เกิดขึ้นมาวิเคราะห์เพื่อสร้างแนวทางไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีก
ผู้สื่อข่าวรายงานจากบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นแพร่หลายทางสื่อโซเชียลขณะนี้ กรณีบุคลากรของหน่วยงานขับรถยนต์ส่วนตัวฝ่าด่านตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ของตำรวจ บริเวณถนนประเสริฐมนูกิจ จากการตรวจสอบพบว่า บุคคลดังกล่าวเป็นพนักงานของบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท.จำกัด จริง ปฏิบัติหน้าที่ตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่ขับรถไฟฟ้า ช่วงเวลาเกิดเหตุนอกเวลาการปฏิบัติงาน ร.ฟ.ท.รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งและขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บริษัทไม่ได้นิ่งนอนใจ เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมาย ส่งผลกระทบให้มีประชาชนได้รับความเดือดร้อน และบาดเจ็บ
ทั้งนี้จะดำเนินการเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย 1.ย้ายการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานที่กระทำความผิดชั่วคราว ให้ขึ้นตรงต่อส่วนกลาง 2.พักงานไม่น้อยกว่า 15 วันโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ระหว่างการสอบสวนข้อเท็จจริง และ 3.หากพบว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายผิดวินัยร้ายแรง จะดำเนินการให้พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจทันที
แหล่งข่าว: ไทยรัฐ