นายอำเภอปรางค์กู่ สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ลุยตรวจสอบ “ลัทธิสีรุ้ง” หลังมีผู้เสียหายร้องเรียน อาจจะถูกหลอกลวง ขณะที่เจ้าเมืองยืนยันไม่เคยมีการชักชวนมาลงทุน เป็นเรื่องเข้าใจผิด

วันที่ 23 ตุลาคม 2567 จากกรณีชาวบ้านร้องเรียนว่ามีกลุ่มที่ตั้งตนเป็นลัทธิประหลาดอยู่ในพื้นที่ อ.ปรางค์กู่ โดยอ้างว่ากลุ่มลัทธินี้ได้พยายามใช้วิธีการในการล่อลวงให้ผู้หลงเชื่อนำเงินไปลงทุน และหลงเชื่อด้วยความเต็มใจ นอกจากนั้น ยังมีพฤติกรรม คำพูด และบทสวดที่เข้าขั้นลามก ทำให้ครอบครัวของผู้ที่เป็นสมาชิกในลัทธิประหลาดนี้ทนไม่ไหว ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรปรางค์กู่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการในเรื่องนี้ ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น (อ่านข่าว : เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ “ลัทธิสีรุ้ง” หลังโดนร้องเรียน พบอดีตพระกรันยา)

ความคืบหน้าล่าสุด วันที่ 24 ตุลาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวิทยา ไชยเดชกำจร นายอำเภอปรางค์กู่ พร้อมด้วย พ.ต.อ.ขวัญเมือง โกสุมา ผกก.สภ.ปรางค์กู่ พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ลงพื้นที่สถานที่ตั้งลัทธิที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ลัทธิสีรุ้ง อยู่บริเวณกลางทุ่งนา ภายในพื้นที่ส่วนบุคคลบนพื้นที่ 23 ไร่ ของนายกรันยา หรืออดีตพระกรันยา ในอดีตพื้นที่ดังกล่าวเคยเป็นที่ตั้งที่พักสงฆ์ก่อนถูกเจ้าหน้าที่สั่งปิดสำนักสงฆ์ โดยปัจจุบันปรับสถานที่ดังกล่าวมาใช้ส่วนบุคคลในการตั้งลัทธิ หรือเมืองอมตะมหานคร ที่มีสมาชิกประมาณ 40 คน

เมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางไปถึงประตูทางเข้า ก่อนจะมุ่งสู่ประตูหลักที่จะเข้าไปภายในลัทธิ มีการติดธงสีรุ้งหลากสี และป้ายยินดีต้อนรับ และป้ายที่มีชื่อว่า เมืองอมตะมหานคร เดินผ่านเส้นทางกลางทุ่งนาระยะทางประมาณ 500 เมตร จะมีประตูที่จะเข้าสู่ภายในลัทธิ ซึ่งมีการปิดประตูอย่างแน่นหนา ติดป้ายสีแดงขนาดใหญ่อยู่ข้างบน มีข้อความว่า อมตะมหานคร มีสมาชิกกลุ่มลัทธิสวมชุดแต่งกายเสื้อ กางเกง และหมวกหลากสี คล้ายสีรุ้ง ยืนสังเกตการณ์อยู่และห้ามทุกคนเข้าไปภายในพื้นที่ โดยอ้างว่าเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล และห้ามทุกคนบุกรุก มีการบันทึกวิดีโอเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ลงพื้นที่ พร้อมข่มขู่ว่าใครบุกรุก จะดำเนินการฟ้องทุกคนที่บุกรุก นายอำเภอใช้เวลาเจรจากับผู้แทนของกลุ่มลัทธิประมาณ 20 นาที จนสุดท้ายจึงสามารถเข้าพบกับเจ้าของลัทธิได้ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มลัทธินี้จะเรียกบุคคลดังกล่าวว่า ท่านเจ้าเมือง

เมื่อเข้าผ่านประตูเข้าไปภายใน จะพบพื้นที่เป็นสถานที่พักที่ทำเป็นสีรุ้ง ซึ่งขณะเดินเข้าไปมีกลุ่มลัทธิสั่งให้คนนอกทุกคนห้ามบันทึกภาพตลอดการเดินเข้ามาภายใน จนกระทั่งก่อนที่จะพบเจ้าเมือง ได้มีการนำเก้าอี้มาวางไว้ และให้เจ้าหน้าที่รออยู่จุดดังกล่าว เพื่อพบกับนายกรันยา หรืออดีตพระกรันยา

จากนั้นเจ้าเมืองจึงเดินทางออกมาด้วยไม้เท้า ทราบสาเหตุมาจากเกิดอุบัติเหตุจากเสาไฟฟ้าล้มทับเท้าได้รับบาดเจ็บ จึงต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุง หลังจากนั้นการเจรจาได้เริ่มขึ้น นายอำเภอปรางค์กู่ และผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรปรางค์กู่ พร้อมกับญาติของผู้เสียหายร่วมเจรจา ขณะมีการเจรจากลุ่มลัทธิ ได้มีการตะโกนห้ามบันทึกภาพ พูดตัดบทกรณีเมื่อถ้อยคำใดไม่ถูกใจกลุ่มตัวเอง และสนับสนุนคำพูดของนายกรันยา ดั่งเป็นผู้วิเศษ

นายกรันยาได้ให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ว่า สิ่งที่กลุ่มนี้กระทำไม่มีเรื่องใดผิด ทุกคนปฏิบัติตนอยู่ในศีล 5 ไม่กินเนื้อสัตว์ อยู่ในพื้นที่ส่วนตัว ไม่มีการกักขังหน่วงเหนี่ยวใครไว้ มีแต่ไล่ให้กลับ และเราไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ส่วนเงินทองที่มีสมาชิกนำที่ดินไปขายนั้น ตนไม่ทราบในเรื่องนี้ แต่ยอมรับว่าหนี้สินเยอะ จึงขอให้ช่วยเหลือ ไม่ได้เป็นการบังคับแต่เหมือนเป็นการมาช่วยกันพัฒนาสถานที่แห่งนี้ ส่วนการลงทุนไซเบอร์นั้น ไม่ใช่ความเป็นจริง และการที่คนภายนอกมองว่าคำพูดที่ใช้พูดคุยกันเป็นเรื่องลามก ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนก็พูดกันปกติ จึงอยากให้นำเสนอข้อเท็จจริงและให้ความเป็นธรรมกับพวกตนด้วย

ขณะที่แม่ของผู้เสียหายทั้ง 2 ครอบครัวจะออกมาชี้แจงว่า นำเงินมาให้เจ้าเมืองจริง แต่เป็นการให้โดยไม่ได้ถูกบังคับ และที่นำมาให้ก็เป็นสมบัติของตน ซึ่งตนมีสิทธิ์อยากจะให้ใครก็ได้ และตนต้องการทำเพราะอยู่ที่นี่แล้วสบายใจ ลูกของพวกตนก็ได้สร้างชีวิตให้เขาแล้ว บั้นปลายต้องการอยู่ที่นี่แล้วมีความสุข ก่อนที่จะมีการเจรจาเพิ่มเติม โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง การเจรจาจึงเสร็จสิ้น

นายธรรมนูญ หนึ่งในผู้ดูแลลัทธิ เปิดเผยว่า พวกตนถูกโจมตีจากสื่อมวลชนในการกล่าวหาว่าเป็นลัทธิประหลาด ลามก ซึ่งไม่เป็นความจริง และตอนนี้มีกรณีใหม่ คือมีคนมาร้องเรียนว่าแม่ของผู้เสียหาย ซึ่งเป็นสมาชิกในนี้ นำที่ดินไปขาย ซึ่งไม่มีใครทราบเรื่องนี้มาก่อน ตลอดจนเรื่องของการกักขังว่า ทั้งไม่ให้เด็กไปโรงเรียน และอิสรภาพในการเข้าออกสถานที่แห่งนี้ ซึ่งไม่เป็นความจริง และอยากให้สื่อนำเสนอข้อมูลให้ถูกต้อง ส่วนในเรื่องของหลักคำสอน คือดำรงอยู่ด้วยศีล ไม่กินเนื้อสัตว์ และปลูกผัก และเครื่องปรุงต่างก็ทำเอง อีกทั้งในเรื่องของการลงทุนต่างๆ นั้น ไม่มี

ส่วนเรื่องการนำที่ดินไปขายนั้น คงต้องให้ครอบครัวไปตกลงกันเองว่า ต้องการทำบันทึกข้อตกลงแบบใด ส่วนในเรื่องของการสอนหรือการพูดคุยที่มีลักษณะพูดเกี่ยวกับอวัยวะเพศเป็นการสอนให้ไม่ผิดลูกผิดเมียกัน และอยู่ในศีลในธรรม และการที่สมาชิกในลัทธิพากันไปเปลี่ยนนามสกุลเป็นนามสกุล รักอมตะ และย้ายที่อยู่เข้ามาภายในลัทธิ ก็ไม่ได้มีการบังคับแต่เป็นการสมัครใจของสมาชิก

ขณะที่นายอำเภอปรางค์กู่ เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่สอบถามแม่ของครอบครัวผู้เสียหายทำให้ทราบว่า ไม่ได้ถูกบังคับขู่เข็ญแต่อย่างใด ซึ่งเงินที่นำมาให้ก็เป็นการนำมาปรับปรุงพื้นที่ แต่จากการตรวจสอบข้อมูลในขณะนี้ยังไม่มีความผิดปกติแต่อย่างใด

ด้านผู้เสียหายที่เป็นลูกชายของสมาชิกในกลุ่มลัทธิ เปิดเผยว่า ตนมีแม่เพียงคนเดียวและลัทธินี้ทำให้แม่ของตนเปลี่ยนไปจนกระทั่งทิ้งครอบครัว และทำไมต้องไปเชื่อคนอื่นมากกว่าคนในครอบครัวที่เขาใช้วาจาหว่านล้อม ซึ่งตนก็ไม่สามารถทำอะไรในจุดนี้ได้ เพียงแต่หาทางที่จะช่วยเหลือแม่ของตนต่อไป

ผู้สื่อรายงานต่อไปว่า ขณะทำข่าวในพื้นที่ กลุ่มสมาชิกลัทธิได้พยายามต่อว่าผู้สื่อข่าวว่าเป็นผู้ทำให้สถานที่นี้เกิดความสูญเสีย ก่อนที่จะสลายตัวกลับเข้าสู่ลัทธิต่อไป.