“รองเต่า” ยัน “ทนายบอสพอล” แจ้งความเอาผิด 3 คดี รีดทรัพย์แล้ว ชี้คดีชัดเจนระดับหนึ่งเร่งให้แล้วเสร็จในสัปดาห์นี้ ด้าน รรท.อธิบดีดีเอสไอ เผยยังไม่ได้สอบปากคำใครในเรือนจำยกเว้น “บอสพอล” ที่เคยเข้าไปคุยนานแล้ว หลังมีข่าวดีเอสไอเรียกรับผลประโยชน์จากดิ ไอคอน พร้อมร่อนเอกสารแจงไม่นิ่งดูดายจ่อเอาคืนทางกฎหมายคนให้ข่าวเท็จ ส่วนทางคดีอยู่ระหว่างพิจารณาหลักฐานแจ้งข้อหาเพิ่มกับผู้ต้องหากลุ่มแรกก่อน พร้อมเร่งประสานแบงก์ขุดเส้นเงินผู้เกี่ยวข้องทุกคนเพื่อมัดคดีฟอกเงิน ไม่ใช้หลักฐานเส้นเงินโซเชียลมาอิง
ภายหลังกรมสอบสวนคดีพิเศษรับคดี ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด เป็นคดีพิเศษ โดยรับสำนวนจากตำรวจสอบสวนกลางเมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา หลังมีผู้เสียหายจำนวนมากเข้าแจ้งความตำรวจทั่วประเทศดำเนินคดีกับ บ.ดังกล่าวหลอกให้ลงทุนและหาลูกข่ายมาเป็นสมาชิกไม่ได้ขายสินค้าจริง สร้างความน่าเชื่อถือด้วยการนำดารานักแสดงชื่อดังมาร่วมโปรโมตเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่และฟอกเงิน ช่วงแรกก่อนรับเป็นคดีพิเศษ ตำรวจจับกุม 18 บอส นำนายวรัตน์พล หรือบอสพอล วรัทย์วรกุล เจ้าของบริษัทดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด นายยุรนันท์ หรือบอสแซม ภมรมนตรี น.ส.พีชญา หรือบอสมิน วัฒนามนตรี และนายกันต์ หรือบอสกันต์ กันตถาวร รวมถึงลูกข่ายและผู้เกี่ยวข้อง ฝากขังคุมตัวเข้าเรือนจำไปแล้ว ล่าสุด “ดีเอสไอ” เร่งทำหนังสือเสนอนายกรัฐมนตรีขอตำรวจชุดทำคดี ดิ ไอคอน ร่วมทีม ยันไม่ใช่เปลี่ยนม้ากลางศึก แต่ทั้ง 2 หน่วยจะทำงานร่วมกันจนกว่าคดีจะจบ ส่วนปมเทวดา สคบ. “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เผยขยายเวลาสอบเหตุยิ่งคุ้ยยิ่งเจอ ตามที่เสนอข่าวไปนั้น
บิ๊กดีเอสไอแจงสอบ “บอสพอล”
ความคืบหน้าล่าสุดในคดีบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 1 พ.ย. พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รรท.อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีคดีพิเศษที่ 115/2567 หรือคดีบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด ว่า สำหรับประเด็นที่มีกระแสข่าว เมื่อวันที่ 31 ต.ค. มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้เข้าไปสอบปากคำผู้ต้องขังชายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เกี่ยวกับเรื่องดิ ไอคอน กรุ๊ป นั้น ยืนยันว่าไม่มี แต่จะมีเพียงก่อนหน้านี้หลายวันแล้วที่ได้มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้าไปสอบข้อเท็จจริงจากนายวรัตน์พล หรือบอสพอล วรัทย์วรกุล ยืนยันว่าในอดีตที่ผ่านมา ไม่มีการให้ผลประโยชน์ใดต่อดีเอสไอ รวมถึงไม่ได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเลย
รอข้อเท็จจริงพยานเท็จสายไหม
ส่วนกรณีที่นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของบอสพอล ให้สัมภาษณ์ขอให้ดีเอสไอพิจารณาดำเนินคดีนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด และพยานที่นายเอกภพพามา กรณีที่นำพยานเท็จเข้ามาพบตำรวจและอ้างว่าดีเอสไอเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่เรียกรับเงินจาก บริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบ หากพบว่าเป็นเรื่องเท็จและเกิดความเสียหายจะพิจารณาดำเนินคดีทั้งหมด ต้องดำเนินการตามกฎหมาย
รวมถึงประเด็นที่ประชุมคณะกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนางบุญยิ่ง นิติกาญจนา สส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ เป็น ประธาน กมธ. และประเด็นของนายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร พรรค พปชร. ที่ตั้งข้อสงสัยนั้น ถือเป็นประเด็นเดียวกัน ดีเอสไอยืนยันว่าหากตรวจสอบแล้วไม่เป็นความจริงก็ต้องดำเนินคดี
บลัฟกลับรับมือ 2 พันพยาน
ส่วนกรณีที่นายวิฑูรย์จะพาพยานกว่า 2,000 ราย มาเข้าให้ปากคำกับดีเอสไอ อีกทั้งจะสอบถามศักยภาพเจ้าหน้าที่ว่าในแต่ละวันจะสามารถสอบปากคำ พยานได้กี่รายนั้น พ.ต.ต.ยุทธนากล่าวว่า มอบหมายให้เจ้าหน้าที่เตรียมรับเรื่องและให้ข้อมูล อีกทั้งต้องดูก่อนว่าทั้ง 2,000 รายนี้ มีความประสงค์เป็นพยานจริงหรือไม่ เป็นใครบ้าง และคนเหล่านี้จะให้การในประเด็นใดบ้าง เพื่อพิสูจน์ความจริงในประเด็นอะไร
ทั้งนี้ ในขั้นตอนของการนำหนังสือเสนอต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อให้แต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนชุดเดิมมาร่วมสอบสวนกับดีเอสไอ รวมถึงการส่งหนังสือ ถึงสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อขอให้มีอัยการมาเป็นที่ปรึกษาในคดีนั้น ทุกอย่างอยู่ระหว่างดำเนินการ
จ่อแจ้งข้อหาเพิ่ม 18 บอส
ต่อมาเวลา 15.00 น. พ.ต.ต.ยุทธนาเปิดเผยอีกครั้งว่า วันนี้คณะพนักงานสอบสวนได้ประชุมหารือในเรื่องของการเตรียมแจ้งข้อหาเพิ่มเติมกับกลุ่มผู้ต้องหาบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด 18 ราย ในความผิดฐาน พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 และข้อหาอื่นที่เกี่ยวข้อง ขณะนี้ อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน และรอเสนอความเห็นต่อสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเกี่ยวกับคดีแชร์ลูกโซ่ เพราะเป็นผู้วิเคราะห์องค์ประกอบต่างๆ เช่น ประเด็นผลประโยชน์ตอบแทนหรือวงจรธุรกิจ ส่วนการออกหมายจับผู้กระทำความผิดลอตที่ 2 ขณะนี้คณะพนักงานสอบสวนมุ่งเน้นไปในเรื่องของการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมกับผู้ต้องหากลุ่มแรกก่อน ยังไม่สามารถระบุจำนวนที่แน่ชัดได้ว่าจะออกหมายจับผู้กระทำความผิดเพิ่มเติมกี่ราย
ร่อนหนังสือโต้ข่าวรับสินบน
วันเดียวกัน กรมสอบสวนคดีพิเศษ แจกเอกสารชี้แจงตามที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน และนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ได้นำบุคคลเป็นแหล่งข่าว เข้าพบอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 16 ต.ค. กรณีที่ให้ข่าวต่อสื่อสาธารณะเมื่อวันที่ 15 ต.ค.ว่ามีข้อมูลจ่ายสินบนเจ้าหน้าที่มีเนื้อหาว่า น่าจะเป็นอดีต ผู้บริหารระดับสูงในหน่วยงานรัฐเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องรวมทั้งของกรมสอบสวนคดีพิเศษด้วย คณะกรรมการ ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวได้เปิดเผยว่า พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ รรท.อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีคำสั่งตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ตั้งแต่วันที่ 17 ต.ค. ขณะนี้คืบหน้าไปมากโดยได้สอบปากคำนายเอกภพและพยานที่นำมา และนายวรัตน์พล หรือบอสพอล แล้วประกอบกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางก็ได้สอบสวนกรณีดังกล่าวด้วย หากพบว่ามีมูลตามที่ร้องเรียนจะดำเนินการตามกฎหมาย ขณะเดียวกันหากไม่มีมูลความจริง จะมีความเห็นเสนออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษให้ดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ให้ข่าวแน่นอน
รอเอกสารเส้นเงินผู้เกี่ยวข้อง
มีรายงานจากแหล่งข่าวในคณะพนักงานสอบสวน คดีพิเศษที่ 119/2567 กรณีบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด อยู่ระหว่างรอเอกสารรายงานเกี่ยวกับเส้นทางการเงินของบรรดา 18 ผู้ต้องหาจากทางธนาคาร หาก ดีเอสไอได้รับรายงานธุรกรรมดังกล่าวจะนำมาตรวจสอบ ว่าใครทำธุรกรรมอย่างไรกันบ้าง เช่น บุคคลใดโอนเงินให้บุคคลใด มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างไร ส่วนประเด็นเรื่องเส้นทางการเงิน 2.5 ล้านบาท ที่ถูกโอนจากบัญชีธนาคารของนายวรัตน์พล หรือบอสพอล วรัทย์วรกุล ไปยังบัญชีธนาคารของมารดานักการเมือง ท่านหนึ่ง ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบเช่นเดียวกัน เนื่องจาก ต้องตรวจสอบที่มาที่ไป เนื่องจากคดีการฟอกเงินทางอาญา จำเป็นที่จะต้องดูเส้นทางเงินขาเข้าและขาออกถึงจะโยงกันได้ อย่างไรก็ตาม แม้พูดกันตามปกติว่าโอนไปไหนอย่างไร แต่กระบวนการสอบสวนเพื่อให้มีการดำเนินคดีจะต้องมีขาเข้าและขาออกที่ชัดเจนถึงจะเชื่อมโยงกันได้
ไล่ย้อนหลังช่วงปี 61-63
ทั้งนี้ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษยังเปิดเผยอีกว่า สำหรับห้วงเวลาที่ดีเอสไอจะตรวจสอบย้อนหลังเกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางการเงินของบรรดา 18 บอสนั้น เบื้องต้นจะไล่ย้อนหลังไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561-2563 แต่ต้องยอมรับอุปสรรคปัญหาเล็กน้อยว่าในปีดังกล่าวนี้อาจไม่มีระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามา แต่ถึงอย่างไรทางธนาคารคงจะเร่งรัดดำเนินการให้ดีเอสไออย่างแน่นอน อีกทั้งดีเอสไอได้ขอเส้นทางการเงินย้อนหลังไปตั้งแต่มีการเปิดบริษัทอีกด้วย ทั้งนี้ ในการชี้แจงการทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ หากผู้ต้องหายังอยู่ระหว่างการคุมขังภายในเรือนจำ ดีเอสไอก็จะต้องเข้าไปสอบสวน ไม่เฉพาะบรรดาบอสเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบุคคลอื่นๆรอบข้างที่รับโอนเงิน รับทรัพย์สินจากกลุ่มดิ ไอคอน ต้องตรวจสอบทุกคน ดังนั้น ในห้วงเวลานี้จึงยังไม่ได้มีการออกหมายเรียกให้ใครมาชี้แจงข้อมูล
ใช้เป็นหลักฐานมัด “ฟอกเงิน”
หากดีเอสไอได้รับข้อมูลเส้นทางการเงินจากธนาคารและตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว จึงจะสามารถใช้ในการสอบปากคำได้ว่า “เงินจำนวนนี้คือเงินอะไร” “คุณได้เงินจำนวนนี้มาได้อย่างไร” “คุณมีนิติสัมพันธ์กันอย่างไร” เป็นต้น เพื่อใช้พิจารณาต่อว่าส่วนนี้จะเป็นการฟอกเงินทางอาญาหรือไม่ ดีเอสไอมีความจำเป็นต้องไล่หลักฐานตรงนี้ ยืนยันว่าการดำเนินการนี้คือเรื่องเร่งด่วนที่ดีเอสไอและธนาคารเข้าใจตรงกัน
“ทนายบอสพอล” ให้การเพิ่ม
อีกด้านหนึ่ง เมื่อเวลา 10.15 น. ที่ศูนย์รับแจ้ง ความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความนายวรัตน์พล หรือบอสพอล วรัทย์วรกุล เข้าให้การเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวน เกี่ยวกับกรณีไฟล์เสียงของนักร้อง ก.ไก่ ที่ได้ยื่นหลักฐานให้พนักงานสอบสวนไปแล้วก่อนหน้านี้ ก่อนเปิดเผยว่า วันนี้มาดำเนินการเกี่ยวกับนักร้องสาวให้เสร็จสิ้น หลังจากที่ค้างคามานาน โดยวันนี้มาให้การเพิ่มเติม หลังส่งคลิปเสียงให้กับเจ้าหน้าที่ไปแล้ว ในวันนี้จะให้การตามไฟล์เสียงว่าบุคคลในคลิปเสียงหมายถึงใคร เข้าข้อหาอะไร ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยจะต้องไปถามบอสพอล กับ น.ส.ปัญจรัศม์ หรือบอสปัน กนกรักษ์ธนพร ในเรือนจำ หลังจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าไปสอบพยานในเรือนจำต่อ
ส่งทีมทนายเช็กบิลสายไหม
นายวิฑูรย์กล่าวต่อว่า วันนี้คาดว่ามีทีมทนายอีกชุดหนึ่งที่ได้รับมอบอำนาจจะเข้าแจ้งความเอาผิดนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ในข้อหา พ.ร.บ.คอมฯ เนื่องจากนายเอกภพโพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก และพยานเท็จที่นำมาให้การกับตำรวจในข้อหาหมิ่นประมาท ขณะนี้ทราบชื่อของพยานที่นายเอกภพพามาแล้วเป็นการสืบหาเอง ไม่ได้รู้จักพยานเท็จคนดังกล่าว และพบว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป ส่วนจะเกี่ยวข้องอย่างไรกับนายเอกภพหรือไม่นั้น ตนเองไม่ทราบ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าส่วนที่แม่ของบอสพอลเป็นผู้ถือหุ้นในดิ ไอคอน กรุ๊ป แต่ไม่โดนคดีอะไรนั้น นายวิฑูรย์ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวเป็นคนละเรื่องกัน เป็นเพียงคนถือหุ้น ไม่มีความผิด
ปราม “อัจฉริยะ” หยุดจ้อ 9 ล.
นายวิฑูรย์กล่าวต่ออีกว่า ส่วนกรณีที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานมูลนิธิชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม อ้างว่า มีตำรวจกองปราบฯเรียกรับเงิน 9 ล้านบาท จากนายจิระวัฒน์ หรือโค้ชแล็ป แสงภักดี ไม่เป็นความจริง เนื่องจากสอบถามโค้ชแล็ปแล้ว ยืนยันว่าไม่มีตำรวจคนใดมาเรียกรับผลประโยชน์ รวมถึงทนายความและภรรยาของโค้ชแล็ปต่างยืนยันว่าไม่เป็นความจริงด้วยเช่นกัน และขออย่าให้ไปพูดแบบนั้นเพราะตำรวจจะเสียหาย ทั้งนี้ ในสัปดาห์หน้าตนยังไม่แน่ใจที่จะยื่นประกันตัวกลุ่มบอสของดิ ไอคอน
ย้าย สนง.ลดค่าใช้จ่าย
ส่วนกรณีที่เพจเฟซบุ๊กของดิ ไอคอน กรุ๊ป โพสต์ว่า จะปิดตึกใหญ่ในโครงการนั้น นายวิฑูรย์ ระบุว่า จริงเป็นการปิดตึกสำนักงานใหญ่ ให้ไปใช้พื้นที่ ของไอคอน เฮาส์ คาเฟ่แทนเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย เช่น ค่าไฟ เนื่องจากขณะนี้บัญชีของบริษัทถูกอายัดและอยู่ในกระบวนการทางกฎหมาย ส่วนตัวยังกังวลเรื่องการจ่ายเงินให้กับผู้ที่ร่วมทำธุรกิจเช่นกัน ยืนยันว่าการปิดสำนักงานใหญ่ไม่กระทบกับการดำเนินกิจการ ขณะนี้โรงงานยังผลิตสินค้าเพื่อส่งให้ลูกค้าตามออเดอร์ เชื่อว่าไม่ได้กระทบภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือ ของบริษัท ส่วนผู้เสียหายที่จะเข้ามาลงทะเบียนขอรับการเยียวยากับบริษัทนั้น ขอปิดการลงทะเบียนชั่วคราว เพื่อตรวจสอบก่อนว่ารายชื่อที่ลงทะเบียน ใครบ้างที่เป็นผู้เสียหายที่แท้จริง
เผย “ทนายพอล” แจ้ง 3 คดีรีด
กระทั่งเวลา 15.00 น. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เปิดเผยความคืบหน้ากรณีนายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความนายวรัตน์พล หรือบอสพอล วรัทย์วรกุล เข้าแจ้งความเอาผิด น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ เจ้าของเพจกฤษอนงค์ต้านโกง และนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ว่า เมื่อวานนี้ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้เรียกประชุม สั่งการเร่งรัดการดำเนินการในหลายคดีและทำทุกมิติให้เป็นไปได้ด้วยความโปร่งใสตรวจสอบได้ วันนี้ทนายบอสพอลเข้าร้องทุกข์ 2 เรื่องกับ บก.ปอท. เรื่องแรกคือแจ้งความเอาผิด น.ส.กฤษอนงค์ และเรื่องที่สองร้องเอาผิดกับนายเอกภพ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องที่มาร้องกับ บก.ป. ให้สืบสวนกรณีเรียกรับเงิน 7.5 ล้านบาทของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ก่อนที่จะมีการจับกุมบอสพอล พบว่ามีการประสานงานผ่านโทรศัพท์มาจากสำนักงานษิทรา ลอว์เฟิร์ม
ยันคดีชัดระดับหนึ่ง
เมื่อถามใน 3 ประเด็น มีเรื่องใดที่มีหลักฐานมากพอที่จะออกหมายเรียกหรือหมายจับได้เลยหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าวว่า ขณะนี้มีความชัดเจนในระดับหนึ่ง เรื่องแรกจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้ แต่ด้วยทนายบอสพอลติดภารกิจหลายเรื่องทำให้มาร้องทุกข์ได้ในวันนี้ หลังจากนี้จะเร่งรัดทุกอย่างให้เร็วที่สุด เมื่อถามว่าคลิปเสียงนักการเมือง คาดว่าจะเข้าข่ายความผิดหรือไม่ พล.ต.ต. จรูญเกียรติระบุว่า ทราบมาว่าดีเอสไอพบเส้นเงินที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองคนดังกล่าว แต่ยังไม่เห็นหลักฐานยังไม่อยากให้ความเห็นในเรื่องนี้ ให้เป็นหน้าที่ของดีเอสไอก่อน แต่หากพบพยานหลักฐานจริง ดีเอสไอจะต้องเพิ่มข้อหาฟอกเงินไปด้วย
ฝากอินฟลูฯกรองก่อนแจ้ง
รอง ผบช.ก.กล่าวอีกว่า อยากฝากถึงนักเคลื่อนไหว ที่ช่วยเหลือประชาชนว่า ตำรวจเข้าใจในบทบาทของจิตอาสาหรือชมรมต่างๆที่จะช่วยเหลือประชาชนอย่างดี ไม่ได้จำกัดความช่วยเหลือ ยินดีทำให้ทุกเรื่อง แต่อยากจะแจ้งไปยังทุกท่านที่จะมาดำเนินการอะไรก็แล้วแต่ ขอให้ตรวจสอบพยานหลักฐานข้อเท็จจริงก่อน ต้องกลั่นกรองมาอย่างดี เพื่อที่จะเอามาให้พนักงานสอบสวนดำเนินการ และอยากให้เข้าไปคุยกับพนักงานสอบสวนก่อน เมื่อปรากฏว่ามีหลักฐานจริง หากจะมาให้ข้อมูลอะไรก็จะไม่ถูกดำเนินคดีหมิ่น ประมาท และ พ.ร.บ.คอมฯ ส่วนใครที่ชอบออกนอกเกม อยากจะตักเตือนว่าอย่าทำ ถ้าทำก็จะมีจุดจบอีกเร็วๆนี้ หากทำอะไรจะต้องคิด พอพูดไปแล้วทำให้หลายองค์กรต้องเสียหาย เนื่องจากสาธารณชนรับทราบไปแล้ว และอยากให้เคสนี้เป็นอุทาหรณ์ให้กับจิตอาสาได้เป็นตัวอย่าง
แหล่งข่าว: ไทยรัฐ