ตำรวจเตรียมส่งมอบคดี “ดิ ไอคอน กรุ๊ป” ทั้งหมดให้ “ดีเอสไอ” ไปดำเนินการต่อตามกฎหมายวันที่ 28 ต.ค. แต่ถ้าประสานขอให้ช่วยอะไรจะดำเนินการให้ส่วนระยะเวลาการฝากขังจาก 4 ผัด ถ้าแจ้งข้อหาหนักกว่าเพิ่ม เช่น ฟอกเงิน ระยะเวลาการฝากขังจะเพิ่มเป็น 7 ผัด 84 วันอัตโนมัติ ด้านโฆษก ดีเอสไอเผย เตรียมรับไม้ต่อ แต่ทำงานร่วมกับตำรวจมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เหมือนแค่เปลี่ยนเจ้าภาพเท่านั้น ยันจะดำเนินคดีให้เร็วที่สุด ขณะที่เหยื่อยังเดินทางมาแจ้งความร้องทุกข์กับดิ ไอคอน กรุ๊ป ต่อเนื่อง สาวชาวไทยในฮ่องกงเข้าแจ้งความและให้ปากคำตำรวจด้วยตัวเอง เผยเห็นโฆษณาแล้วดูน่าเชื่อถือ เลยติดต่อเปิดบิลซื้อคอลลาเจนเอาไปขายที่ฮ่องกงกว่า 5 แสนบาท แต่ขายไม่ออกเพราะราคาแพง หลังจากนั้นเจอข่าวร้ายบริษัทถูกดำเนินคดี ส่วนตัวชวนเพื่อนมาร่วมสั่งของมาขายด้วย รวมความเสียหายกว่า 2 ล้านบาท

การสืบสวนคลี่คลายบริษัทดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด (The iCon Group Co.,Ltd.) ดำเนินธุรกิจขายตรงเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ กล่าวหาหลอกให้ลงทุนและหาลูกข่ายมาเป็นสมาชิก ไม่ได้ขายสินค้าจริง สร้างความน่าเชื่อถือด้วยการนำดารานักแสดงชื่อดังมาร่วมโปรโมต หลังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เดินเครื่องสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยาน หลักฐาน ขออำนาจศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหา 18 คน ตั้งแต่นายวรัตน์พล หรือบอสพอล วรัทย์วรกุล เจ้าของบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด นายยุรนันท์ หรือบอสแซม ภมรมนตรี น.ส.พีชญา หรือบอสมิน วัฒนามนตรี และนายกันต์ หรือบอสกันต์ กันตถาวร รวมถึงลูกข่ายและผู้เกี่ยวข้อง ควบคุมตัวฝากขังเข้าเรือนจำไปแล้วทั้ง 18 คน ล่าสุด เตรียมส่งสำนวนบางส่วนให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไปดำเนินการต่อตามข้อกฎหมาย

ความคืบหน้าจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวน กลาง (บช.ก.) เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 27 ต.ค. พล.ต.ท. อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร.ฐานะหัวหน้าคณะทำงานคดีดิ ไอคอน กรุ๊ป เปิดเผยกรณีตำรวจจะโอนสำนวนคดีให้กรมสอบสวนคดีพิเศษว่า พรุ่งนี้จะมีการโอนมอบสำนวนคดีดิ ไอคอน กรุ๊ป ทั้งหมดให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ส่วนหลังจากนี้ดีเอสไอจะประสานให้ตำรวจช่วยเรื่องไหนสามารถ ทำได้ ตำรวจยินดีพร้อมให้ความร่วมมือเต็มที่ ส่วนการ ออกหมายจับลอต 2 ถ้าจะให้ตำรวจเป็นผู้ออกหมายเอง เกรงว่าจะไม่เหมาะสม อาจถูกฝั่งผู้ต้องหาร้องว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมได้ ดังนั้น เรื่องนี้ต้องมาพิจารณากันอีกครั้ง สำหรับช่วงนี้ตำรวจคงต้องช่วยเรื่องการสอบปากคำผู้เสียหายไปก่อน

ด้าน พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก.กล่าวถึงกรณีการโอนสำนวนคดีให้กรมสอบสวนคดีพิเศษว่า วันพรุ่งนี้คณะพนักงานสอบสวนคดีดิไอคอน กรุ๊ป ของ บช.ก.จะตรวจสอบความเรียบร้อยแฟ้มคดีดิ ไอคอนฯ ก่อนส่งมอบให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หลังจากตรวจทานเป็นที่เรียบร้อยจะประสานกันอีกทีว่า จะให้ส่งมอบที่ บช.ก.หรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ ส่วนอำนาจการควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดที่มี 4 ฝาก 48 วันนั้น ไม่น่ามีปัญหาอะไร เพราะเจ้าหน้าที่ สามารถแจ้งข้อหาอื่นเพิ่มได้อีก เมื่อถึงตอนนั้นเวลาฝากขังจะเพิ่มขึ้นเป็น 7 ผัด 84 วัน ถือว่าเวลายังมีอีกมาก จะแจ้งก่อนหรือแจ้งตอนผัดฟ้องสุดท้ายล้วนสามารถทำได้

“ส่วนเรื่องการออกหมายจับลอต 2 นั้น ต้องดูอีกทีว่า กรมสอบสวนพิเศษจะเป็นผู้ออกหมายเองหรือไม่ เพราะตามอำนาจของกรมสอบสวนพิเศษสามารถร้องขอให้ตำรวจช่วยทำได้ เช่น เรื่องการสอบสวนผู้เสียหาย แต่เรื่องหมายจับคงต้องมาดูกันอีกที คาดว่าจะมีความชัดเจนขึ้นวันพรุ่งนี้” รอง ผบช.ก.กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ว่า หลังจากเมื่อวันที่ 27 ต.ค. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก.เข้าพบนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เพื่อรายงานความคืบหน้าและประชุมร่วมกันในคดีดิ ไอคอนฯ เรียบร้อยแล้ว ทำให้ได้ข้อสรุปว่า จะโอนสำนวนคดีทั้งหมดในส่วนของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางไปให้กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นผู้ดำเนิน คดีต่อ หลังจากก่อนหน้านี้ดีเอสไอแถลงว่า จะรับเพียงข้อหาตาม พ.ร.บ.ฟอกเงินไปดำเนินคดีเท่านั้น

มีรายงานอีกว่า บช.ก.จะรวบรวมสำนวนการสอบสวนทั้งหมดส่งให้ดีเอสไอในวันจันทร์ที่ 28 ต.ค.นี้ เบื้องต้นพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหากับผู้ต้องหาทั้ง 18 คนไปแล้ว 2 ข้อหาคือ ข้อหาฉ้อโกงประชาชน และข้อหากระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ หลังจากดีเอสไอรับสำนวนคดีไปแล้ว พนักงานสอบสวนดีเอสไอจะพิจารณาแจ้งข้อหาเพิ่ม ความผิดตาม พ.ร.บ.ฟอกเงิน รวมถึงการขยายผลการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาความผิดของบุคคลอื่นที่อาจเข้าข่ายความผิดในกลุ่มที่สองและกลุ่มต่อๆไปด้วย

ก่อนหน้านี้ช่วงเช้า เวลา 10.00 น. ที่กองบังคับการ ปราบปราม (บก.ป.) นายอิทธิเดช ธเนศวัฒนะ ตัวแทนรวบรวมผู้เสียหายคดีบริษัทดิ ไอคอน กรุ๊ป ที่อยู่ต่างประเทศ พาตัวผู้เสียหายเปิดเผยเพียงชื่อ น.ส.นิน เป็นชาวไทยที่อยู่ในฮ่องกงมาแจ้งความร้องทุกข์ พนักงานสอบสวน บก.ปคบ. ให้ดำเนินคดีกับดิ ไอคอน กรุ๊ป ผู้เสียหายรายนี้เผยว่า เห็นโฆษณาดิ ไอคอนฯ ผ่านโซเชียลมีเดีย จึงทักไปและได้รับการชักชวนผ่านแม่ข่ายที่ชื่ออักษรย่อ จ.จาน ให้ร่วมลงทุน นอกจากนี้ยังเห็นป้ายโฆษณาในประเทศไทยหลายป้ายตามทางด่วน เป็นโฆษณาของดิ ไอคอน เห็นว่าเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ มีแบรนด์น่าเชื่อถือและตัวเธอเองมีอาชีพเปิดร้านขายของชำ รับสินค้าจากประเทศไทยไปขายที่เกาลูนฮ่องกงอยู่แล้ว เธอเลยตัดสินใจเปิดบิลซื้อสินค้าคอลลาเจนกับดิ ไอคอนฯ เมื่อเดือน ต.ค.ปีที่แล้ว 2 บิล มูลค่ารวมกว่า 500,000 บาท อีกทั้งยังชักชวนเพื่อนชาวไทยอีก 3 คนในฮ่องกงมาร่วมเปิดบิลด้วย รวมมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท

เหยื่อสาวจากฮ่องกงเผยอีกว่า แต่ปรากฏว่าเธอต้องเป็นคนลงทุนเบิกสินค้าข้ามน้ำข้ามทะเลจากประเทศไทยไปฮ่องกง แต่ไม่สามารถขายสินค้าได้เลย เนื่องจากราคาสูงและไม่เป็นที่นิยมของคนฮ่องกง ขายได้แค่คนไทยด้วยกันเองเท่านั้น เมื่อบริษัทดิ ไอคอน กรุ๊ป เกิดปัญหา ทำให้เธอไม่สามารถเบิกสินค้าจากคลังของบริษัทได้ อีกทั้งคดีความที่เกิดขึ้นส่งผลให้สินค้าของบริษัทขาดความน่าเชื่อถือ ยิ่งก่อให้เกิดความเสียหายและไม่สามารถคืนทุนได้ จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความร้องทุกข์เพราะถือเป็นการฉ้อโกง ทำให้เธอและเพื่อนคนอื่นที่มาเปิดบิลกับดิ ไอคอนฯ ได้รับความเสียหายรวมกว่า 2 ล้านบาท

ด้านนายอิทธิเดช ธเนศวัฒนะ กล่าวว่า ขณะนี้ตนรวบรวมผู้เสียหายจากต่างประเทศได้มากกว่า 20 ราย ทั้งจากประเทศจีน เมียนมา ลาว กัมพูชา มาเลเซีย สิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหราชอาณาจักร อิตาลี เยอรมนี เอสโตเนีย สวีเดน ลักเซมเบิร์ก แคนาดา สหรัฐอเมริกา มาเก๊า และฮ่องกง สำหรับผู้เสียหายส่วนใหญ่เป็นชาวไทยที่ไปแต่งงานกับชาวต่างชาติและพำนักอยู่ที่นั่น รวมทั้งยังชักชวนญาติชาวต่างชาติให้มาร่วมเปิดบิลลงทุนกับดิ ไอคอนฯรวมมูลค่าความเสียหายกว่า 20 ล้านบาท วันนี้นอกจากพาผู้เสียหายจากฮ่องกงมาแจ้งความแล้ว ยังได้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหายชาวอังกฤษ และคนไทยที่อยู่ในประเทศลักเซมเบิร์ก เอสโตเนีย และอิตาลีให้เข้าแจ้งความแทนด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (26 ต.ค.) อดีตตำรวจ ปคบ.สามีของ น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวต้านโกง เดินทางมายังกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เพื่อให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน บก.ปปป. เกี่ยวกับกรณีเสียงของเจ้าตัวปรากฏอยู่ในคลิปเสียงหลักฐานของ “บอสพอล” จากการสอบปากคำเจ้าตัวให้การยืนยันว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียกรับเงินจากบอสพอล รวมถึงคำให้การของสามี น.ส.กฤษอนงค์ยังค่อนข้างเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ในส่วนความคืบหน้าคดี ขณะนี้พนักงานสอบสวน บก.ปปป.ยังอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงของพยานหลักฐานฝั่งผู้กล่าวหาซึ่งมีอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะหลักฐานคลิปเสียงอาจต้องใช้เวลาตรวจสอบพอสมควร

ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กิจการกองเงินนอกระบบ ฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวถึงกรณีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม สั่งการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษรับไม้ต่อคดีดิ ไอคอน กรุ๊ป เป็นคดีพิเศษว่า คดีนี้เป็นคดีใหญ่ ที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่วมดำเนินการสอบสวนกันมาตั้งแต่ต้น การโอนคดีมาให้ดีเอสไอจึงเป็นเพียงการเปลี่ยนเจ้าภาพเท่านั้น เพราะที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการสืบสวนสอบสวนไปเยอะแล้ว สอบปากคำผู้เสียหาย ตามยึดทรัพย์สิน จับกุมผู้ถูกกล่าวหา ดีเอสไอเพียงรับมาดำเนินการต่อ และต้องดำเนินการให้รวดเร็วที่สุด

“สำหรับขั้นตอนกฎหมายที่เข้ากฎเกณฑ์เป็นคดีพิเศษมี 2 ช่องทาง ช่องทางแรกอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษสามารถรับเป็นคดีพิเศษได้เลย หลังพิจารณาแล้วเข้าหลักเกณฑ์ตามกฎหมายกำหนด เช่น เป็นคดีอาญาที่มีความผิดซับซ้อน จำเป็น ต้องใช้วิธีการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเป็นพิเศษ คดีความผิดทางอาญาที่มีผลกระทบรุนแรงต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ช่องทางที่ 2 ถ้าคดีไม่อยู่ในเกณฑ์ที่อธิบดีดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ จะพิจารณาในรูปแบบของคณะกรรมการ” โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษกล่าว

พ.ต.ต.วรณันเผยด้วยว่า ที่กล่าวมาเป็นขั้นตอนการดำเนินการตามกฎหมายเท่านั้น ที่ผ่านมาสำนักงาน ตำรวจแห่งชาติกับกรมสอบสวนคดีพิเศษประสานงานกันทางด้านข้าง จากนี้ดีเอสไอรอการส่งมอบคดีในรูปแบบของลายลักษณ์อักษร เมื่อส่งมอบคดีแล้ว ดีเอสไอจะดำเนินการทางคดี ต่อยอดคดีตามแนวทางที่ร่วมกันมา และจะดำเนินการให้เร็วที่สุด

มีรายงานสรุปยอดผู้เสียหายหลอกลงทุนของบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป ที่มาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ที่ห้องประชุมชั้น 2 อาคารประชาอารักษ์ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ยอดรวมสะสมระหว่างวันที่ 10-27 ต.ค. ณ เวลา 11.00 น. วันที่ 27 ต.ค. มีจำนวนผู้เสียหายที่สอบปากคำแล้ว 3,474 ราย มูลค่าความเสียหายเฉพาะที่สอบปากคำแล้วรวม 1,190 ล้านบาทเศษ