โอนคดี “ดิ ไอคอน กรุ๊ป” ให้ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ 28 ต.ค.แล้ว หลัง “ภูมิธรรม” เรียกตำรวจ-ดีเอสไอ-ปปง.ประชุมติดตามความคืบหน้าที่ทำเนียบฯ ก่อนรายงาน “นายกฯ” เผยการเปลี่ยนมือจากตำรวจมาดีเอสไอเป็นกระบวนการตามกฎหมาย เบรก สคบ.เข้าร่วมคณะทำงานเพราะมีข้อกล่าวหาปมเทวดา “บิ๊กก้อง” จ่อขอหมายจับลอต 2 อุบมีดาราร่วมด้วย ด้าน “รองเต่า” เร่งทำคดีคลิปเสียงรีด 10 ล.บอสพอลให้ชัดเจนสัปดาห์หน้า จ่อ “เอก สายไหม” นำพยานเท็จมาให้ข้อมูลเป็นคิวต่อไป เรือนจำสั่งสอบ “อัจฉริยะ” โผล่เข้าพบ “โค้ชแล็บ” พร้อมตำรวจ แฉนำเอกสารมาให้เซ็นตั้งเป็นทนายแต่ถูกปฏิเสธ จ่อส่งหนังสือถึง พงส.ทำแบบนี้ไม่ควร
กรณีตำรวจสอบสวนกลางจับกุม 18 บอส บริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป นำโดยบอสพอล หรือนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล เจ้าของบริษัทและ 3 บอสดารา คือนายยุรนันท์ หรือบอสแซม ภมรมนตรี น.ส.พีชญา หรือบอสมิน วัฒนามนตรี และนายกันต์ หรือบอสกันต์ กันตถาวร ข้อหาฉ้อโกงประชาชน และหลอกลวงหรือทุจริตโดยการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอัน เป็นเท็จ ก่อนทั้งหมดถูกนำตัวเข้าเรือนจำ หลังมีผู้เสียหายแห่ร้องเรียนถูกหลอกให้ลงทุนและหาลูกข่ายเป็นสมาชิกโดยไม่ได้ขายสินค้าจริง สร้างความน่าเชื่อถือนำดารานักแสดงชื่อดังมาโปรโมตธุรกิจขายตรงเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ ความเสียหายพุ่ง 2 พันกว่าล้านบาท ล่าสุด ดีเอสไอแถลงรับคดีดิ ไอคอน กรุ๊ป เป็นคดีพิเศษเฉพาะคดีอาญาฟอกเงิน ส่วนตำรวจยังทำคดีฉ้อโกงประชาชนและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ฯเตรียมขอศาลออกหมายจับลอต 2 ด้าน “บอสพอล” เรียกทนายรับออเดอร์จัดหนักคืนนักร้องเรียนสาว ก.ทนายรีดทรัพย์ พยานเท็จสายไหมและแม่ข่ายตีเนียนเป็นเหยื่อ รวมทั้งไม่พอใจ “อัจฉริยะ” ร่วมตำรวจสอบสวนกลางย่องพบผู้ต้องหาดิ ไอคอนฯในเรือนจำ ยันเตรียมเอาผิดฉ้อโกงประชาชนแม่ข่ายตีเนียนเป็นผู้เสียหาย ร่วม 2,000 ราย ตามที่เสนอข่าวไปนั้น
“ภูมิธรรม” เรียก 3 หน่วยถกด่วน
ความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับการดำเนินคดี บ.ดิ ไอคอน กรุ๊ป ฉ้อโกงประชาชน เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 26 ต.ค. ที่ตึกบัญชาการทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อติดตามความคืบหน้าคดี มี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. หัวหน้าชุดทำคดีบริษัทดิ ไอคอน กรุ๊ป พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และนายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และ พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ผบก.ปคบ.) และคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เข้าร่วม
รายงาน “นายกฯอิ๊งค์” 29 ต.ค.
นายภูมิธรรมให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมว่า ในฐานะกำกับดูแลดีเอสไอ ตร. และ ปปง. ทั้ง 3 หน่วยงานมีบทบาทสำคัญประสานงานกับ สคบ. เรียกมาติดตามความคืบหน้าคดีเพราะเป็นคดีใหญ่ ส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก อยากทราบว่าคดีดำเนินการไปถึงไหน อย่างไร จะมีข้อสรุปประมาณไหนที่จะเป็นทิศทางในการดำเนินการ เมื่อถามว่าเบื้องต้นได้มีการรายงานหรือไม่ว่าตัวผู้ที่กระทำความผิดจะมีการสาวขึ้นไปอีก นายภูมิธรรมกล่าวว่า เท่าที่ทราบกำลังดำเนินการ จะสืบว่าไปถึงไหนแล้วจะจบได้หรือยังไงหรือต้องเดินต่อ ถ้าเดินต่อก็ต้องเคร่งครัด ต้องดูการจัดการความร่วมมือ ทุกหน่วย ได้ร่วมมือประสานงานกันได้แล้วหรือยัง เป็นห่วงเรื่องนี้ กำชับจัดการเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ดูรายละเอียดต่างๆ และจะนำเรียน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี วันที่ 29 ต.ค.
ให้ “ผู้ช่วยอ้อ” ดูจับลอต 2
ขณะที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.กล่าวว่า นายภูมิธรรมนัดหารือคดีดิ ไอคอน กรุ๊ป เมื่อถามถึงความคืบหน้าการออกหมายผู้ต้องหาเพิ่มเติมในลอตที่ 2 ใกล้แล้วหรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า มอบหมายให้ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ดำเนินการอยู่
โอนให้ดีเอสไอรับคดีพิเศษ
ต่อมาเวลา 11.05 น. นายภูมิธรรมแถลงหลังการประชุมว่า จากรายงานของตำรวจถือว่าเราทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ทั้งหมดจะเข้าสู่เงื่อนไขที่ต้องมอบอำนาจให้ดีเอสไอไปดำเนินการ สิ่งหนึ่งที่เรามีความกังวล และอยากให้สื่อช่วยชี้แจงคือนี่ไม่ใช่การยกคดีไปให้ดีเอสไอแล้วผู้ที่ดำเนินการตั้งแต่ต้นจะทิ้งคดี แต่เป็นการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จากการ สอบสวน สำนวนใกล้เสร็จแล้วทั้งหมด และพร้อมยื่นให้ดีเอสไอ
มอบสำนวนทั้งหมด 28 ต.ค.
นายภูมิธรรมกล่าวต่อว่า เราได้คุยกันแล้วว่าทั้ง 3 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมมือกันทำงานต่อไป ให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายที่ถูกต้อง ในวันที่ 28 ต.ค.ตำรวจจะยื่นคดีให้กับดีเอสไอทั้งหมด ส่วน ปปง.จะดูแลเรื่องการยึดทรัพย์ต่างๆ เพราะมีความเสียหายที่มีมูลค่ามากกว่า 300 ล้านบาท และมีผู้ได้รับผลกระทบจำนวนมาก ยืนยันให้เกิดความมั่นใจกับประชาชนว่าการเปลี่ยนผ่านมือไปสู่อีกส่วนหนึ่งเป็นแค่การทำตามกฎหมาย แต่ทั้ง 3 หน่วยงานยังทำงานร่วมกัน หากติดขัดอะไรฝ่ายการเมืองพร้อมเข้าไปช่วย
เบรก สคบ.ร่วมคณะทำงาน
นายภูมิธรรมกล่าวอีกว่า ส่วนการทำงานของสคบ.ได้ชี้แจงกับที่ปรึกษา รมต.ประจำสำนักนายก รัฐมนตรี ว่า สคบ.ถูกกล่าวหาว่ามีบุคคลเกี่ยวข้องคดี ไม่ให้เข้ามาเป็นคณะทำงานในเรื่องของการสอบสวน แต่จะสนับสนุนให้การสอบสวนเกิดความยุติธรรม เมื่อถามว่าหากมอบคดีให้ดีเอสไอแล้วจะทำให้คดีเร็วขึ้นหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ต้องไปดูรายละเอียด แต่ยืนยันจะทำคดีให้เร็วที่สุด เชื่อว่ากระบวนการจะไม่มีอะไรสะดุดช่วงเปลี่ยนผ่าน ดีเอสไอจะสามารถชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการที่ได้ดำเนินการไปแล้ว
ดีเอสไอรับคดีตาม ก.ม.
รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ตอบคำถามที่ว่า สำหรับผลการสอบสวนจะจบเพียงแค่นี้ หรือจะมีการสอบสวนบุคคลอื่นที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มบอส นายภูมิธรรมกล่าวว่า ถ้ายังมีส่วนใดที่เกี่ยวข้องจะไม่มีการนิ่งนอนใจ สามารถปิดคดีได้เพื่อให้ประชาชนจะได้รับประโยชน์ ปปง.จะติดตามทรัพย์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง และตำรวจจะสนับสนุนการทำงานของ ดีเอสไอ ย้ำว่าการเปลี่ยนผ่านเป็นแค่กระบวนการตามกฎหมาย
“บิ๊กก้อง” เผยจ่อขอหมายเพิ่ม
ด้าน พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าเตรียมออกหมายจับผู้ต้องหาคดีดิไอคอนเพิ่มเติมในลอต 2 ว่า ตอนนี้เป็นการดำเนินการตามที่ได้กล่าวไป และในวันที่ 28 ต.ค. จะส่งสำนวนไปให้ดีเอสไอเป็นเจ้าภาพต่อไป ตำรวจจะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยดีเอสไออีกที หลังจากนี้คงต้องไปหารือกัน เมื่อถามว่าการออกหมายจับผู้ต้องหาในลอตที่ 2 มีดาราเข้าไปเกี่ยวข้องเพิ่มด้วยหรือไม่ พล.ต.ท.จิรภพกล่าวว่า ยังไม่ถึงจุดนั้น เมื่อถามว่า วันที่ 25 ต.ค. ปปง.ร่วมกับตำรวจสอบสวนกลางเปิดเส้นทางการเงิน 3 บอสดารา เป็นเงินที่ถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมาย พล.ต.ท.จิรภพกล่าวว่า เอาไว้วันที่ 28 ต.ค. นัดคุยกันอีกที
“รองเต่า” เร่งคดีคลิปรีด 10 ล้าน
ส่วนคดีที่แตกหน่อออกไปจากคดีดิ ไอคอน กรุ๊ปฉ้อโกงประชาชน โดยเฉพาะคดีนักร้องเรียนรีดเงิน 10 ล. จากบอสพอลที่มอบอำนาจให้ทนายมาแจ้งความนั้น เมื่อเวลา 12.00 น. วันเดียวกัน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. กล่าวถึงกรณีการเรียกอดีตตำรวจ บก.ปคบ.สามี น.ส.กฤษอนงค์ หรือเจ๊พัชร์ สุวรรณวงศ์ มาพบพนักงานสอบสวน บก.ปปป. ว่า วันนี้พนักงานสอบสวนจะเชิญสามีของ น.ส.กฤษอนงค์ มาให้ปากคำที่ บก.ปปป. หลังพบว่ามีคลิปเสียงปรากฏอยู่ด้วย คดีนี้จะทำให้แล้วเสร็จในสัปดาห์หน้า จากนั้นจะมาสรุปว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียกรับเครื่องเซ่นไหว้จากบอสพอลหรือไม่ ก่อนจะไปดำเนินการหาข้อเท็จจริงในส่วนของเทวดาและนักร้องรายอื่นๆ ต่อไป
เสร็จแล้วคดีให้ข้อมูลเท็จ
พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่มีเพจสายไหมต้องรอด ที่นำพยานมาให้ข้อมูลเท็จมามอบให้พนักงานสอบสวนนั้น เจ้าหน้าที่ได้รับเรื่องจากนายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของบอสพอล ตั้งแต่เย็นวานนี้แล้ว ตอนนี้ต้องขอดำเนินการในเรื่องของ น.ส.กฤษอนงค์ ก่อน จากนั้นถึงจะดำเนินการตามขั้นตอนในส่วนนี้ต่อไป ส่วนกรณี พ.ต.อ.สมคิด สาวิสัย รอง ผบก.ภ.จ.สระบุรี หรือบอสตำรวจ ที่มี คลิปปรากฏอยู่บนเวทีของดิ ไอคอนว่า เบื้องต้นทราบว่าทางจเรตำรวจจะดำเนินการตรวจสอบ เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหามียศเป็นนายตำรวจ
ไร้เงาอดีตสามี “เจ๊พัชร์”
ภายหลังตำรวจ บก.ปปป. นัดหมาย อดีตสามีของ น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ เจ้าของเพจกฤษอนงค์ต้านโกง เข้ามาให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงประเด็น ที่มีคลิปเสียงในโทรศัพท์มือถือของบอสพอลในช่วงบ่ายของวันนี้นั้น ทำให้สื่อมวลชนหลายสำนักมาปักหลักรอทำข่าวที่หน้าอาคารกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ตั้งแต่ช่วงบ่าย แต่กลับไม่พบว่าอดีตสามี น.ส.กฤษอนงค์เดินทางมาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ ตำรวจแต่อย่างใด ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์สอบถาม ไปยัง น.ส.กฤษอนงค์ ว่า ทราบหรือไม่อดีตสามีจะเข้า มาพบพนักงานสอบสวนในวันนี้ น.ส.กฤษอนงค์ ตอบเพียงสั้นๆว่า ไม่ทราบ ตอนนี้อยู่กับลูก ขอให้เป็นส่วนตัว
“ผู้การอิ้ว” บอกไม่ทราบเรื่อง
จากการสอบถาม พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคบ. ที่เดินทางมายังตึกกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ระบุว่า ไม่ทราบเรื่องที่อดีตสามี น.ส.กฤษอนงค์จะเข้ามาให้ปากคำ เพราะเป็นคนละส่วนกัน แต่เมื่อถามว่าจะมีการส่งสำนวนคดีของผู้เสียหายทั้งหมด ให้ทันภายในวันที่ 28 ต.ค. หรือไม่นั้น พล.ต.ต.วิทยา ปฏิเสธการตอบคำถามดังกล่าว ก่อนจะเดินขึ้นตึกไป
“ทนายบอส” ตั้งทีมรับออเดอร์
ขณะที่นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความนายวรัตน์พล หรือบอสพอล วรัทย์วรกุล เปิดเผยถึงกรณีที่ได้รับมอบอำนาจให้ดำเนินการฟ้องร้องนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ หรือเอก สายไหมต้องรอด จากการนำพยานเท็จมาแถลงข่าวและให้การกับตำรวจ ว่า ตอนนี้ได้รับมอบอำนาจมาแล้วแต่ยังไม่ได้ยื่นแจ้งความเพราะต้องรอให้ทีมทนายความที่ดูแลเรื่องการดำเนินคดีกับบุคคลต่างๆเป็นผู้ดำเนินการ โดยตนทำหน้าที่ต่อสู้คดีหลักแต่เรื่องการฟ้องร้องดำเนินคดีกับบุคคลต่างๆ จะมีออเดอร์มาอีกเยอะเป็นหางว่าวจึงต้องตั้งทีมขึ้นมา
แจ้งกลับแม่ข่ายอ้างเป็นเหยื่อ
นายวิฑูรย์เผยอีกว่า บอสพอลได้เตรียมมอบอำนาจให้ดำเนินคดีออเดอร์ที่ 4 เป็นแม่ข่ายสาวที่ไปออกรายการดัง เพื่อชุบตัวจากแม่ข่ายให้กลายเป็นผู้เสียหายในข้อหาหมิ่นประมาทฯ เพราะแม่ข่ายรายนี้ได้รับเงินจากบริษัทเป็นจำนวนมาก แต่กลับไปออกรายการแล้วบอกว่าเป็นผู้เสียหาย และอาจจะพิจารณาดำเนินคดีกลุ่มผู้เสียหายที่แม่ข่ายสาวรายนี้พามาแจ้งความด้วย เพราะต่างได้ยอดกำไรจากการขายสินค้าไปเยอะแล้ว
รับ 7 ล. หลักฐานยังไม่ชัด
ทนายบอสพอลกล่าวอีกว่า ส่วนกรณีทนายความคนดังที่มีการเรียกรับเงิน 7 ล้านบาทที่อ้างว่าจะนำไปคืนกับผู้เสียหายนั้น ตอนนี้พยานหลักฐานยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ ขอให้ทีมงานตรวจสอบก่อน เพราะต้องการทำให้รัดกุมถึงจะดำเนินคดี ตนมีคลิปเสียงหลักฐานอีกกว่า 100 คลิป แต่ต้องไปเอาจากกลุ่มเลขาฯบอส ดิ ไอคอน ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าเป็นคลิปเสียงของใครบ้าง ต้องนำมาตรวจสอบก่อน แต่ยืนยันว่าจะไล่ดำเนินคดีทั้งหมด ส่วนกรณีการยื่นประกันตัวกลุ่มบอสที่ถูกคุมขังอยู่ในขณะนี้นั้น ตอนนี้จะยังไม่ยื่นประกันตัว คงต้องรอให้ตำรวจสอบสวนจนพ้นการฝากขังผัดแรกไปก่อน แต่มีการคุยกันว่า หากมีการยื่นประกันตัว อาจจะใช้หลักทรัพย์ประมาณ 5 ล้านบาท
ติดใจ “อัจฉริยะ” พบ “โค้ชแล็ป”
นายวิฑูรย์กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ เข้าไปในเรือนจำพร้อมกับพนักงานสอบสวน บก.ปปป.อ้างว่าได้รับการยินยอมจากญาติของผู้ต้องหานั้น ยืนยันว่าในห้องดังกล่าวที่นายอัจฉริยะเข้าไปเป็นห้องพนักงานสอบสวนที่แม้แต่ทนายความของผู้ต้องหายังเข้าไปฟังไม่ได้ เรื่องนี้ได้สอบถามน้องสาวโค้ชแล็ปแล้ว ยืนยันว่าไม่รู้เรื่องดังกล่าว แต่ก็ไม่รู้ว่าภรรยาของโค้ชแล็ปจะมีการติดต่อไปหรือไม่
แฉให้เซ็นแต่งตั้งเป็นทนาย
อีกด้านหนึ่ง นายปราโมทย์ ทองศรี ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านทัณฑวิทยา รรท.ผบ.เรือนจำพิเศษกรุง เทพฯ กล่าวถึงกรณีนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เข้าไปร่วมรับฟังภายในห้องพนักงานสอบสวนของเรือนจำฯ โดยที่ไม่ได้เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดี หรือได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทนายความ ว่า ได้รับรายงานเบื้องต้นว่านายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ มีความประสงค์เดินทางเข้าไปเพื่อนำเอกสารไปให้นายจิระวัฒน์ หรือโค้ชแล็ป แสงภักดี ลงนามแต่งตั้งเป็นทนายความ แต่นายจิระวัฒน์ได้ปฏิเสธเพราะมีทนายความอยู่แล้ว
เตือน พงส.ทำอย่างนี้ไม่ควร
รรท.ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯกล่าวต่อว่า ส่วนกรณีนายอัจฉริยะได้เข้าไปนั่งอยู่ในห้องพนักงานสอบสวนของเรือนจำฯจริงหรือไม่นั้น อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง พฤติการณ์จะเป็นการละเมิดพื้นที่ของเรือนจำฯหรือไม่ต้องไปตรวจทานรายละเอียดภายในหนังสือของพนักงานสอบสวนก่อน ที่สำคัญหากมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่าเป็นการบุกรุกเข้าไปเองเรือนจำต้องละเว้นการให้เข้าเยี่ยมเข้าพบของบุคคลดังกล่าว อีกประการสำคัญคือต้องสอบถามไปทางพนักงานสอบสวนด้วยว่าอนุญาตให้นายอัจฉริยะเข้าไปภายในห้องสอบสวนของเรือนจำจริงหรือไม่ และให้เข้าไปด้วยกันในฐานใด ทั้งนี้ อาจจะมีหนังสือส่งไปยังพนักงานสอบสวนเพื่อแจ้งว่ากิจกรรมอย่างนี้ไม่ควร
ปปง.ร่อนเอกสารแจงผลยึดอายัด
มีรายงานว่า ก่อนนี้สำนักงาน ปปง.ออกเอกสารแถลงผลการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินกรณีบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด กับพวก (เพิ่มเติม) ระบุว่าตามที่ เลขาธิการ ปปง. และคณะกรรมการธุรกรรมมีคำสั่งให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด กับพวก พร้อมดอกผลไว้ชั่วคราว ได้แก่ 1.คำสั่งที่ ย. 214/2567 ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2567 2.คำสั่งที่ ย. 222/2567 (เพิ่มเติม) ลงวันที่ 17 ตุลาคม 2567 3.คำสั่งที่ ย. 223/2567 (เพิ่มเติม) ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2567 โดยทั้ง 3 คำสั่งดังกล่าวมีการยึดหรืออายัดทรัพย์สินรวม 52 รายการ มูลค่ารวมประมาณ 176,044,615บาทนั้น
ยอดรวมมูลค่าทรัพย์สิน 320 ล้าน
เอกสาร ปปง.ระบุข้อความต่อว่า เนื่องจากปรากฏพยานหลักฐานอันมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าอาจมีการโอน ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดในคดีดังกล่าว และกรณีมีความจำเป็นเร่งด่วน เลขาธิการ ปปง.อาศัยอำนาจตามมาตรา 48 วรรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ออกคำสั่งที่ ย.224/2567 ลงวันที่ 25 ตุลาคม 67 ให้ยึด และอายัดทรัพย์สินในคดีนี้เพิ่มเติมเป็นทรัพย์สินประเภทหุ้นในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ หน่วยลงทุนและสินทรัพย์ดิจิทัล 26 รายการ และเป็นทรัพย์สินประเภทเงินในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ ตราสารหนี้ และเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร 63 รายการ รวมทรัพย์สินที่ยึดและอายัดทั้งสิ้น 89 รายการ มูลค่าประมาณ 144,275,765 บาท พร้อมดอกผลไว้ชั่วคราวมีกำหนดไม่เกิน 90 วัน ทั้งนี้ รวมทั้ง 4 คำสั่งมูลค่าทรัพย์สินที่ยึดหรืออายัดเป็นเงินประมาณ 320,320,308 บาท
เตือนคนวุ่นวายทรัพย์สินมีโทษ
สำนักงาน ปปง.เน้นย้ำว่าทรัพย์สินที่อยู่ระหว่างพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินนั้น หากผู้ใดโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าก่อน ขณะหรือหลังการกระทำความผิด มิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงในความผิดมูลฐาน หรือกระทำด้วยประการใดๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะ ที่แท้จริงการได้มาแหล่งที่ตั้ง การจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใดๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือได้มา ครอบครองหรือใช้ทรัพย์สินโดยรู้ในขณะที่ได้มาครอบครอง หรือใช้ทรัพย์สินนั้นว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดอาจมีความผิดฐานฟอกเงิน ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีหรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เหยื่อพุ่ง 9.2 พันราย เสียหาย 2.8 พันล้าน
สรุปยอดรวมผู้เสียหายที่เข้าให้ปากคำกับศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์ในคดีดิ ไอคอน กรุ๊ป จากศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั่วประเทศ ณ วันที่ 26 ต.ค.67 รวมทั้งสิ้น 9,212 ราย มูลค่าความเสียหาย 2,839 ล้านบาทเศษ
แหล่งข่าว: ไทยรัฐ