ดีเอสไอ พร้อมรับคดี “บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด” เป็นคดีพิเศษ หากตำรวจ ปคบ. พบพฤติการณ์เป็นความผิดแชร์ลูกโซ่ พร้อมวางกรอบประเด็นสอบสวนสำคัญ แผนธุรกิจเน้นหาสมาชิกหน้าใหม่มากกว่าเน้นขายผลิตภัณฑ์-สืบเส้นทางเงินของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการบริหารแผนธุรกิจบริษัท

ความคืบหน้าคดี “ดิ ไอคอน กรุ๊ป” เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2567 พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รรท.อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวถึงกระบวนการพิจารณาการรับคดีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด เป็นคดีพิเศษ ว่า สำหรับการรับเป็นคดีพิเศษของดีเอสไอ มีเกณฑ์พิจารณาอยู่ที่จำนวนผู้เสียหาย 300 ราย มูลค่าความเสียหายเกิน 100 ล้านบาท หากมีการรวบรวมพยานหลักฐาน พยานเอกสาร พยานวัตถุ มีการสอบปากคำผู้เสียหาย สอบปากคำผู้ถูกกล่าวหา แล้วพบพฤติการณ์ที่เข้าข่ายอาจเป็นความผิดแชร์ลูกโซ่ตามแนบท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องมีการแจ้งเรื่องและพฤติการณ์ทางคดีมาให้ดีเอสไอพิจารณารับเป็นคดีพิเศษ

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้แม้ดีเอสไอยังไม่ได้รับเป็นคดีพิเศษ แต่การดำเนินการตรวจสอบจะไม่หยุดชะงัก เพราะทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและดีเอสไอ โดย พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ (กองคดีแชร์ลูกโซ่ดีเอสไอ) มีการประสานเรื่องข้อมูลร่วมกันต่อเนื่อง หากดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ ดีเอสไอก็ต้องดูข้อเท็จจริงที่เคยมีการให้การไว้ เพื่อพิจารณาว่ายังมีประเด็นใดที่ดีเอสไอต้องสอบถามเพิ่มเติมหรือไม่ รวมทั้งต้องดูข้อมูลที่ตำรวจได้ไปรวบรวมตรวจค้นว่ามีรายการใดบ้าง ส่วนกรอบขอบเขตการสอบสวนที่ดีเอสไอตั้งไว้ คือ เน้นย้ำเรื่องบัญชีของบริษัทและวิธีการรับประโยชน์ อาทิ แผนธุรกิจของบริษัทฯ มีการเน้นหาสมาชิกหน้าใหม่มากกว่าเน้นการขายผลิตภัณฑ์หรือไม่ และเส้นทางการเงินของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการบริหารแผนธุรกิจ

การจะรับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษหรือไม่นั้น หากพบว่าพฤติการณ์มีลักษณะความผิดตามแนบท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 สามารถรับเป็นคดีพิเศษได้ทันที แต่ถ้าหากไม่เป็นความผิดตามแนบท้าย ก็ต้องเสนอกรรมการคดีพิเศษ พิจารณารับเป็นคดีพิเศษตามขั้นตอน

พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ ในฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า ทราบว่ากระบวนการการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาแก่บุคคลใด เพียงแต่ระบุว่าบุคคลนั้นมีผู้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษในฐานความผิดใด ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงดำเนินการต่อไป แต่ทางดีเอสไอ ได้ดำเนินการเรื่องข้อมูลที่ได้มาเพื่อดูองค์ประกอบกรณีแชร์ลูกโซ่ ว่ามีเหตุสงสัยหรือไม่ หากมีเหตุสงสัยก็จะดำเนินการสืบสวนคู่ขนานและจะไล่เรียงเรื่องเส้นทางการเงิน ซึ่งดีเอสไอและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการประสานข้อมูลกันอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม หากเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการสอบปากคำผู้เสียหายและรวบรวมพยานหลักฐานจนสรุปพฤติการณ์ชี้ประเด็นว่าเป็นความผิดแชร์ลูกโซ่ จึงจะเข้าองค์ประกอบเป็นความผิดตามแนบท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547

สำหรับภาพขั้นตอนหากดีเอสไอรับคดีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด เป็นคดีพิเศษ มีดังนี้

1. การรับส่งสำนวนระหว่างกันของตำรวจและดีเอสไอ

2. การสอบปากคำพยานทางตำรวจยังมีอำนาจในการสอบปากคำตามที่ดีเอสไอร้องขอเพื่อกระจายบรรดาพยานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ตามสถานีโรงพักทั่วประเทศดำเนินการสอบปากคำได้อย่างทั่วถึง

3. สอบสวนเส้นทางการเงินและองค์ประกอบความผิด เพราะดีเอสไอเล็งเห็นว่าแผนธุรกิจดังกล่าวมีการเตรียมการซับซ้อนพอสมควร อีกทั้งประการสำคัญ คือ บริษัทดังกล่าวได้รับการอนุญาตให้ประกอบกิจการตลาดแบบตรงจาก สคบ. จึงเป็นเนื้อหาสำคัญที่ดีเอสไอจะต้องดูว่าตกลงแล้วบริษัทแห่งนี้ได้ดำเนินการผิดหลักเงื่อนไขตลาดแบบตรงของ สคบ. หรือกระทำผิดจากเหตุแชร์ลูกโซ่

กรอบการดำเนินการสอบสวน หากดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ มีการวางโครงสร้างการดำเนินงานเบื้องต้น ดังนี้ เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการการรับส่งสำนวนระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและดีเอสไอไม่ว่าจะเป็นรายงานการสอบปากคำพยาน ประเด็นที่เกี่ยวกับเรื่องพยานหลักฐานที่ได้จากการตรวจค้น ยึดและอายัด จากนั้นดีเอสไอจะพิจารณาจากพยานหลักฐานทั้งหมดเพื่อตรวจสอบว่าเข้าองค์ประกอบฐานความผิดแชร์ลูกโซ่อย่างไร โดยจะดูเรื่องความหมายของการกู้ยืมเงินเปรียบเทียบกับพฤติการณ์ที่เกิดขึ้น และจะมีการประสานกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ว่าแผนประทุษกรรมของแผนธุรกิจดังกล่าวนั้น ในฐานะที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบกฎหมาย วิเคราะห์แล้วมันเป็นการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่หรือไม่ เพราะมันมีผลผูกพันกับอัตราดอกเบี้ยของแบงก์ในช่วงเวลาเกิดเหตุ ส่วนเรื่องการจะออกหมายเรียกแก่เหล่าบรรดาบอสต่าง ๆ นั้น เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจส่งสำนวนมาแล้ว ดีเอสไอก็จะมาดูพฤติการณ์ว่าจะต้องสอบสวนประเด็นใดเพิ่มหรือไม่ จึงจะออกหมายเรียกบรรดาบอสเข้ามาสอบปากคำ

พ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า สำหรับประเด็นการตรวจสอบเส้นทางการเงินในส่วนของดีเอสไอ เราจะดูรายได้ของบริษัททั้งหมด เพราะแผนธุรกิจของบริษัทฯ เป็นการประกอบธุรกิจตลาดขายตรงโดยที่มีการจดทะเบียนถูกต้องจาก สคบ. เราจึงต้องไปดูระบบการเงินก่อน อย่างไรก็ตาม ตนต้องชี้แจงว่าในขณะนี้ทั้งหมดยังเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา ยังมีโอกาสที่จะชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ชี้แจงข้อเท็จจริง และสามารถนำพยานหลักฐานที่จะชี้แจงเข้าสำนวนของพนักงานสอบสวนได้ ซึ่งตรงนี้ดีเอสไอจะใช้อำนาจของ พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 มาตรา 7 เพื่อเปิดโอกาสให้ได้รายงานสถานภาพการประกอบธุรกิจ และจะได้ส่งพยานหลักฐานที่ดำเนินการอยู่มาให้ดีเอสไอ เพื่อเอาข้อเท็จจริงมากางดูต่อไป

“ขั้นตอนในวันนี้ ทาง พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รรท.อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มีการให้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอดำเนินการตั้งเลขสืบสวนคดีพิเศษ คู่ขนานไประหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสอบสวนอยู่นั้น ดีเอสไอก็สามารถใช้อำนาจในการ