
ปี 2566 มี “คนตาย” บนท้องถนน 14,145 ราย เฉลี่ยวันละ 39 คน บาดเจ็บพิการอีกกว่า 8 แสนคน (ข้อมูล #ThaiRsc) ความเสียหายทางเศรษฐกิจอีกไม่ต่ำกว่า 6 แสนล้านบาท (ทีดี อาร์ไอ 2557)
…คำถามสำคัญมีว่า มันเกิดอะไรขึ้นในบ้านเรา?
“คอร์รัปชันทำให้คนไม่เคารพกฎจราจร คนทำผิดไม่รู้ตัวว่าผิด คนทำผิดแล้วใช้เงินซื้อความยุติธรรมจนเกิดอภิสิทธิ์ชนมากมาย ทั้งที่มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ตำรวจ กรมการขนส่งฯ กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไปจนถึงอัยการและศาล”

ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) บอกอีกว่า ปีที่แล้วไปบรรยายเรื่อง “คอร์รัปชัน ขวากหนามใหญ่ลดปัจจัยความสูญเสียทางถนนจริงหรือ?” ให้กับเครือข่าย “มูลนิธิเมาไม่ขับ” ห้องประชุมเต็มไปด้วยผู้พิการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนน อาสาสมัครรณรงค์…
และ…พนักงานบริษัทเอกชนที่ใส่ใจปัญหา เช่น ฮอนด้า ได้นำภาพข่าวเหตุการณ์จริงมาประกอบการบรรยายครบทุกประเด็น… ตอกย้ำประเด็นสำคัญ “คอร์รัปชัน” ทำให้เราลดความสูญเสียบนท้องถนนไม่ได้สักวันเดียว เพราะถนนเต็มไปด้วยรถเถื่อนรถผิดกฎหมาย และผู้ขับขี่ตั้งใจทำผิดกฎหมาย
เป็นต้นว่า…รถทัวร์สองชั้น รถตู้ รถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ร้านค้าตั้งวางของปิดทางเท้าและผิวจราจร จนประชาชนต้องลงมาเดินบนผิวจราจร

“การติดตั้งป้ายโฆษณาเถื่อนของเอกชน รถบรรทุกน้ำหนักเกิน ขับรถขณะเสพยาและเมาเหล้า รถตู้รับผู้โดยสารเกินจำนวน ขับรถย้อนศร ขับรถบนทางเท้า ก่อสร้างถนนด้อยคุณภาพ การติดตั้งป้ายจราจรมั่ว ด่านเถื่อนคอยรีดไถมากกว่าจับรถผิดกฎหมาย”
สรุปคือ ทุกองคาพยพบนท้องถนน ทางเท้า อาคารริมทาง ป้าย สัญญาณจราจร ยานพาหนะ เหล้าเบียร์ ยาเสพติด ฯลฯ เต็มไปด้วยการโกงกิน…จนกฎหมายและความเป็นธรรมบิดเบี้ยว
เกิดคำถามสำคัญตามมาว่า ปัญหาที่ยังวิกฤติอยู่อย่างนี้เพราะว่า “รัฐ” ดูดาย เจ้าหน้าที่รัฐโกงกิน เอกชนเห็นแก่ได้ สังคม เมินเฉย…? แล้ว “ประชาชน” จะมีส่วนช่วยหาทางออกเรื่องนี้ได้ อย่างไรครับ
ดร.มานะ ยังโพสต์ในเฟซบุ๊ก “มานะ นิมิตรมงคล” เกี่ยวกับทิศทางใหม่เพื่อป้องกัน “คอร์รัปชันในภาครัฐ” อีกว่า ปัจจุบันมีแนวทางใหม่ๆในการป้องกันคอร์รัปชันของภาครัฐ นอกเหนือไปจากการใช้กฎหมายและหน่วยงาน ป.ป.ช. ป.ป.ท. และ สตง. ที่เราคุ้นเคยมายาวนาน
อันเป็นผลจากการผลักดันของคนไทยและเจ้าหน้าที่รัฐรุ่นใหม่ ผนวกกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี 5 ทิศทางใหม่ได้แก่ 1.สร้างเครื่องมือใหม่ไปครอบระบบเก่า 2.ใช้เทคโนโลยีเพื่อประชาชน 3.พัฒนาระบบตรวจสอบกำกับดูแล 4.ตีกรอบภารกิจรัฐให้ทันสมัย 5.ปฏิรูประบบราชการและการบริการประชาชน

ลงลึกในรายละเอียดเช่นข้อแรก…สร้างเครื่องมือใหม่ไปครอบระบบเก่า โดยใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ…ทราบกันดีว่าระบบราชการนั้นยากจะแก้ไขเพราะล้วนยึดโยงกับกฎหมาย อำนาจภารกิจของตนเอง และมีสายการบังคับบัญชาที่สร้างบุคลากรให้เติบโตผูกพันกันมา ทางที่ทำได้เร็วกว่าคือ…สร้างระบบขึ้นมาใหม่
“ครอบระบบเดิมในลักษณะของการตรวจสอบ ความ โปร่งใส การกระจายงาน โดยมองผลประโยชน์ส่วนรวมและ ประชาชนเป็นศูนย์กลาง”
ตัวอย่างผลงานที่โดดเด่นคือ Traffy Fondue ที่ กทม.และอีกหลายหน่วยงานนำมาใช้ ระบบนี้นอกจากรองรับการร้องเรียนของประชาชนได้อย่างไม่จำกัดแล้ว ยังสามารถส่งเรื่องให้หน่วยงานตัวจริงที่ถูกร้องเรียนมาร่วมแก้ปัญหาโดยตรง ไม่ต้องรอให้ กทม. ส่งเรื่องประสานงานไปมา เช่น การไฟฟ้าฯ การประปาฯ ฯลฯ

“Traffy Fondue” ยังมีศักยภาพที่จะพัฒนาได้อีกมากสำหรับ “ทุกหน่วยงาน” ของ “รัฐ”
อีกระบบคือ BMA OSS ของ กทม. ที่เปิดให้ประชาชนยื่นขอใบอนุญาตและติดตามผลทางออนไลน์ หากไม่พบเรื่อง หรือไม่คืบหน้า ไม่เสร็จสิ้นภายในกำหนด ก็สามารถร้องเรียนได้ทันที ทำให้โปร่งใส สบายใจ ลดเงื่อนไขให้ประชาชนต้องไปพบปะเจ้าหน้าที่โดยไม่จำเป็น
“เทคโนโลยีไม่โกหก ตรวจสอบหลักฐานย้อนหลังได้ ประชาชนติดตามเรื่องของตนเองตลอด แต่แนวทางนี้ถูกใช้น้อยเพราะต้องอาศัยผู้นำที่ตั้งใจ มีวิสัยทัศน์ มองออกว่าติดขัดที่ผู้เกี่ยวข้อง… กฎหมายหรือระบบอย่างไร มีคอร์รัปชันตรงไหน ทางออกควรเป็นเช่นไร แล้วต้องโน้มน้าวหน่วยงานอื่นให้มาร่วมมือได้”
ข้อถัดมา…ตีกรอบ “ภารกิจของรัฐ” ให้ทันสมัย ลดขนาดรัฐด้วยการลดภารกิจที่ไม่จำเป็นแล้วจำกัดบทบาทของรัฐ ลดการผูกขาดอำนาจของหน่วยงาน เพิ่มทางเลือกให้ประชาชนและกระจายงาน หน่วยงานรัฐหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางเศรษฐกิจ การค้ากับภาคเอกชน วางเงื่อนไขการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐให้ชัดเจน

“ลดงานที่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่น ลดจำนวนหน่วยงานและจำนวนบุคลากร”
สุดท้าย…ปฏิรูประบบราชการและการบริการประชาชน แนวทางนี้แม้จะเริ่มมาหลายปีแล้ว แต่ยังมีข้อเสนอใหม่ๆน่าสนใจอีกมาก โดยสำนักงาน กพร.เป็นศูนย์กลางการขับเคลื่อน เพื่อปฏิรูประบบราชการและการบริการให้ประชาชน พ่อค้านักธุรกิจพึงพอใจ สะดวก ชัดเจน รวดเร็ว ไม่สร้างภาระเกินจำเป็น
โดยแต่ละ “หน่วยงานรัฐ” ต้องทบทวนกระบวนงานให้ทันสมัย ลดขั้นตอน ลดเอกสาร ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมยิบย่อย เปิดบริการออนไลน์ เป็นต้น

บทสรุปทิ้งท้ายมีว่า…“คอร์รัปชัน” มีนวัตกรรมที่ซับซ้อนแนบเนียนมากขึ้น เป็นเครือข่ายมากขึ้น การต่อต้านคอร์รัปชันด้วยวิธีการแบบเดิมๆ จึงไม่เพียงพออีกต่อไป ทุกฝ่ายต้องทำงานหวังผล ใส่ใจในผลลัพธ์ที่สร้างผลกระทบได้จริงมากกว่าผลงานที่ปรากฏ โดยคำนึงถึงการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม
…สร้างความร่วมมือหลากหลายมิติ ใส่ใจคนใน “องค์กร” และพลัง “ประชาชน”.
คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม
แหล่งข่าว: ไทยรัฐ